Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

กลายเป็นประเด็นใหญ่ทีเดียว เมื่อ สถานทูตจีนประจำประเทศไทย เผยแพร่ข้อความเรื่องสถานการณ์ของฮ่องกง กับจีน ผ่านทางเฟซบุ๊ก ออฟฟิเชียล ของสถานทูตโดยไฮไลท์สำคัญอยู่ในช่วงท้าย ที่ระบุว่า

“นักการเมืองประเทศไทยบางคน มีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน โดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดอย่างร้ายแรง และไร้ความรับผิดชอบ ฝ่ายจีนหวังว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถรับรู้ข้อเท็จจริงของปัญหาฮ่องกง ใช้ความระมัดระวัง ทำให้เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมิตรภาพจีน-ไทย”

จากประเด็นนี้ ทำให้มีการพูดถึง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่เพิ่งมีถ่ายภาพร่วมกับโจชัว หว่อง แกนนำของฝั่งฮ่องกง

อิมแพ็กต์จากภาพๆ นี้ ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมตามมาอีกหลายลูก เราจะสรุป Timeline ของเหตุการณ์ ว่าเกิดอะไรขึ้น

กุมภาพันธ์ 2019 – รัฐบาลฮ่องกง ได้ร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนเข้าสู่สภานิติบัญญัติ โดยในเนื้อหาของกฎหมาย มีระบุด้วยว่า สามารถส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีนได้ด้วย ซึ่งนั่นทำให้ชาวฮ่องกงจำนวนมาก หวั่นกลัวว่า จีนจะใช้อำนาจตรงนี้ ในการเอาผิดคนฮ่องกงที่วิจารณ์รัฐบาลจีน และจะโดนใช้อำนาจของกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เอาตัวไปลงโทษในจีน

กฎหมายฉบับนี้ คนฮ่องกงมองว่า จะทำให้จีนสามารถมีอำนาจในระบบยุติธรรมของฮ่องได้มากเกินไป

31 มีนาคม 2019 – ชาวฮ่องกงหลายพันคนจึงออกมาประท้วง เพื่อเรียกร้องให้กฎหมายส่งตัวข้ามแดนยุติลงไป โดยจำนวนคนประท้วงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหลักพัน เป็นหลักหมื่น หลักแสน และสูงสุดพุ่งถึง 1 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม แครี่ แลม ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกงได้กล่าวว่า กฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้นมีประโยชน์ เพราะจะช่วยอุดช่องโหว่ ไม่ให้ฮ่องกงตกเป็นที่หลบภัยสำหรับอาชญากร

17 มิถุนายน 2019 – โจชัว หว่อง นักต่อสู้ทางการเมืองของฮ่องกงวัย 22 ปี ที่ถูกจำคุก 6 เดือน โทษฐานชุมนุมอย่างผิดกฎหมาย เขาพ้นโทษจากเรือนจำ ทันทีที่พ้นจากเรือนจำ เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อทั่วโลกทันทีว่า “สิ่งที่เราเรียกร้อง คือเพิกถอนร่างกฎหมายที่ชั่วร้ายนี้”

9 กรกฎาคม 2019 – หลังจากการต่อสู้ และการประท้วงยืดเยื้อมายาวนาน แครี่ แลม ประกาศว่า กฎหมายฉบับนี้ “ตายไปแล้ว” อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ประท้วงยังไม่พอใจ เนื่องจาก แครี่ แลม ยังไม่ได้บอกว่าจะถอนกฎหมายอย่างเป็นทางการ เหมือนกับมีการเปิดช่องทาง จะผลักดันกฎหมายฉบับนี้อีกครั้งในอนาคต

31 สิงหาคม 2019 – การชุมนุมเริ่มมีการใช้ความรุนแรงกันตอบโต้ ระหว่างฝ่ายรัฐบาล และกลุ่มผู้ประท้วง ฝั่งตำรวจใช้รถน้ำแรงดันสูง เพื่อผลักดันผู้ประท้วงให้ล่าถอย แต่ฝั่งผู้ประท้วง ก็ตอบโต้ด้วยกระป๋องแก๊สน้ำตา ก้อนอิฐ และแท่งไม้ มีภาพความรุนแรงให้เห็นเป็นระยะ ซึ่งส่งผลต่อการท่องเที่ยวของฮ่องกงโดยตรง

นอกจากนั้นยังมีความขัดแย้งกันเองของคนฮ่องกงอีกด้วย บางส่วนต้องการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยให้ชาวฮ่องกง แต่บางส่วนก็อยากประกอบอาชีพไปอย่างปกติ โดยไม่มีความรุนแรงใดๆ เกิดขึ้นกับประเทศ

2 กันยายน 2019 – ทางการฮ่องกงเชื่อว่า เมื่อเข้าสู่การเปิดเทอมแล้ว ปริมาณผู้ประท้วงจะลดลง เนื่องจากเด็กๆ ก็จะกลับไปเรียนหนังสือ อย่างไรก็ตาม นักเรียนนักศึกษามากกว่า 1 หมื่นคน จาก 200 โรงเรียน ตัดสินใจโดดเรียน เพื่อไปร่วมกับประท้วง

โดยนอกเหนือจากประเด็นเรื่องกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว กลุ่มนักเรียนนักศึกษายังกังวลใจเรื่องอนาคตของฮ่องกงอีกด้วย เนื่องจากในอีก 28 ปีข้างหน้า ปี 2047 ฮ่องกงจะเสียสิทธิการปกครองตนเองอย่างอิสระ และจะกลับไปอยู่กับประเทศจีนอีกครั้ง

ซึ่งหมายความว่า อิสระในการออกนโยบายต่างๆ ทั้งเรื่องการออกกฎหมาย เรื่องเศรษฐกิจ และเสรีภาพในการแสดงออก จะต้องถูกผูกไว้กับจีนแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นกลุ่มวัยรุ่น จึงใช้โอกาสนี้รวมตัวกันประท้วง เพื่อไม่ให้ ฮ่องกงต้องถูกจีนปกครองเหมือนอย่างเมืองอื่นๆ

ถึงตรงจุดนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับ ฮ่องกง จึงเต็มไปด้วยความตึงเครียด ฝั่งจีนมองว่า ฮ่องกงคือส่วนหนึ่งของจีนตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่มาถูกอังกฤษยึดดินแดนไปในปี 1898

แต่ทางฝั่งประชากรฮ่องกงมองว่า นับจากปี 1898 ที่ฮ่องกงไม่ได้อยู่ในอำนาจของจีน ฮ่องกงเองก็พัฒนาวัฒนธรรม และเศรษฐกิจขึ้นในรูปแบบของตัวเอง และสามารถดูแลกันเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องตกอยู่ในอำนาจของจีนอีกต่อไป

ปมขัดแย้งจึงอยู่ตรงนี้ เพราะฝ่ายจีนต้องการหลอมรวมกับฮ่องกงมากขึ้น แต่ฝั่งฮ่องกงเองไม่ต้องการแบบนั้น

ประเด็นฮ่องกงจึงกลายเป็นจุดละเอียดอ่อนของจีน เนื่องจากรัฐบาลส่วนกลางของจีนมองว่า กลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงออกจากจีน ได้ใช้คำว่าประชาธิปไตย และเสรีภาพเป็นข้ออ้าง และบ่อนทำลายอธิปไตย และความเป็นหนึ่งเดียวกันของประเทศจีน

3 ตุลาคม 2019 – มีประเด็นที่ดาริล มอเรย์ ผู้จัดการทีมฮุสตัน ร็อคเกตส์ ไปโพสต์ทวิตเตอร์บอกว่า ขอยืนเคียงข้างฝั่งฮ่องกง ส่งผลให้ ภาคเอกชนของจีน ทำการตอบโต้อย่างรุนแรง ด้วยการแบนบาสเกตบอล NBA จากประเทศจีนเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้รับคำขอโทษ หรือการแก้ปัญหาอย่างเป็นทางการจาก NBA สื่อให้เห็นว่า แม้จะเป็นคำพูดของคนคนเดียว ทางจีนมีการออก Action สวนกลับอย่างจริงจังมาก

5 ตุลาคม 2019 – นิตยสาร The Economist ได้จัดงาน Open Future Festival 2019 ขึ้นที่สามเมืองใหญ่ทั่วโลก ประกอบด้วย ฮ่องกง, แมนเชสเตอร์ และ ชิคาโก้ โดยแต่ละเมืองจะเชิญบุคลากรจากชาติต่างๆ มาให้ความรู้เรื่อง เศรษฐกิจ และ การเมือง ซึ่งในงานที่ฮ่องกง ได้เชิญนักพูดทั้งหมด 16 คน โดย 2 ในนั้น คือโจชัว หว่อง และ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่

โดยหลังจากบรรยายโจชัว หว่อง ได้ถ่ายรูปคู่กับธนาธร แล้วโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมเขียนข้อความกล่าวชื่นชมธนาธรเต็มๆ อีก 3 พารากราฟ โดยลงท้ายว่า “เราสองคนจะเดินหน้าต่อไป เพื่อความก้าวหน้าของประชาธิปไตย”

จากประเด็นนี้ สร้างความกังวลให้หลายๆคน เพราะการที่นักการเมืองระดับผู้ท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ไปถ่ายรูปคู่กับแกนนำการประท้วงของฮ่องกงแบบนั้น อาจส่งผลให้รัฐบาลกลางของจีนไม่พอใจได้ ว่าฝั่งไทยไปหนุนหลังการแยกตัวของฮ่องกง

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย วิจารณ์ธนาธรว่า “แม้จะเป็นฝ่ายค้าน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปถ่ายรูปกับฝ่ายค้านประเทศอื่น อยากเตือนนายธนาธรว่า ให้ระวังมากกว่านี้ เพราะจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”

10 ตุลาคม 2019 – สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับกฎบังคับในเรื่องการห้ามสวมหน้ากาก และสถานกาณ์ล่าสุดที่ฮ่องกง พร้อมทั้งปิดท้ายเรื่องว่า นักการเมืองประเทศไทยบางคนมีการติดต่อกับกลุ่มที่คิดจะแบ่งแยกฮ่องกงจากจีน โดยมีท่าทีเชิงสนับสนุน ซึ่งอาจส่งผลต่อมิตรภาพระหว่างสองประเทศได้

แม้สถานทูตจะไม่ได้กล่าวชื่อโดยตรง แต่ก็เชื่อกันว่า คนที่สถานทูตหมายถึง คือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ถ่ายรูปกับโจชัว หว่องนั่นเอง

11 ตุลาคม 2019 – พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ หรือบิ๊กแดง ผู้บัญชาการทหารบก ได้บรรยายพิเศษเรื่อง “แผ่นดินของเราในมุมมองด้านความมั่นคง” ที่กองบัญชาการกองทัพบก โดยมีส่วนหนึ่งที่ระบุว่า “ผมจึงอยากจะถามว่าเราจะเชื่อกลุ่มนักการเมืองผึ้งแตกรัง ลูกพี่หนีคดีไปต่างประเทศ หรือจะเชื่อนักธุรกิจ ที่ชีวิตเกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง มีพฤติกรรมร่วมชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง ชักศึกเข้าบ้าน เจาะพฤติกรรม ล้างสมองคนรุ่นใหม่ มีพฤติกรรมล้มล้างชาติ สถาบัน”

โดยในการบรรยาย มีรูปโจชัว หว่อง ยืนคู่กับชายคนหนึ่ง แต่มีการเซ็นเซอร์ภาพเอาไว้ ซึ่งแน่นอน ว่าในภาพนั้นรูปจริง คือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจนั่นเอง

จากประเด็นนี้ ทำให้ธนาธร ต้องออกมาอธิบายจุดยืนอย่างชัดเจน ในเฟซบุ๊กของตัวเอง โดยอธิบายเหตุผล 9 ข้อ ว่าการไปเจอกัน คือเจอกันที่ฮ่องกง และหลังการบรรยาย ได้เจอโจชัว หว่อง คุยกัน 5 นาที ถ่ายรูปและแยกย้ายกันไป

“นั่นเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวที่ผมพบปะกับโจชัว หว่อง ผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองใดๆในฮ่องกง และไม่มีเจตนาที่จะทำในอนาคต ภารกิจของผมและพรรคอนาคตใหม่ คือการสร้างประชาธิปไตย และความก้าวหน้าของสังคมไทย

“รูปถ่ายระหว่างผมกับโจชัว หว่อง เพียงภาพเดียวถูกนำมาขยายความต่อเกินความจริง โดยปราศจากหลักฐานยืนยันใดๆ สื่อ, กลุ่มคนบางกลุ่ม รวมถึงผู้นำกองทัพ พยายามเชื่อมโยงผมกับความไม่สงบในฮ่องกง เพื่อสร้างความเกลียดชังในสังคมไทย ผมขอให้ทุกท่านรับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้าน และขอยืนยันอีกครั้งว่าเราสร้างพรรคอนาคตใหม่ขึ้นมา ด้วยความปรารถนาดีต่อประเทศ

และนั่นคือสถานการณ์ล่าสุดจนถึงปัจจุบัน ที่การบรรยายของ ผบ.ทบ. กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์วันนี้ ถึงกับติดเทรนด์ในทวิตเตอร์

ด้านธนาธรออกมาอธิบายจุดยืนของตัวเอง อย่างชัดเจนว่า รูปดังกล่าวเป็นแค่การถ่ายรูป และไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆ กับกลุ่มการเมืองของฮ่องกง อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ไม่น้อยว่า ในฐานะที่เป็นนักการเมืองระดับแคนดิเดตท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ก็ควรจะระมัดระวังมากกว่านี้หรือไม่ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับชาติอื่นได้อย่างที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า