ไทยเรากำลังก้าวสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ อย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2565 เรามีจำนวนผู้สูงอายุมากกว่า 12 ล้านคน หรือคิดเป็น 18.3% ของประชากรทั้งหมด
และเพราะการเข้าสู่วัยเกษียณที่ต้องออกจากงานที่ทำอยู่ ไร้อาชีพ บางคนไม่มีเงินอีก ทำให้คนวัยนี้บางส่วนรู้สึกว่าคุณค่าในตัวเองลดลง ซึ่งนี่เป็นประเด็นที่ทำให้คนสูงวัยมีความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้าได้
นั่นทำให้หลายองค์กรเริ่มจัดโครงการรับคนวัยเกษียณเข้าทำงาน หรือจัดอบรมทักษะเพิ่มความรู้สร้างอาชีพ สร้างกิจกรรมให้คนวัยนี้ เพื่อให้พวกเขาได้ภูมิใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง
ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มส่งคนส่งอาหารอย่าง ‘แกร็บ ประเทศไทย’ ด้วย
โดยตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. 2565 แกร็บ ประเทศไทย ได้ประกาศร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า (depa)จัดทำโครงการ ‘แกร็บวัยเก๋า’ ที่สนับสนุนให้คนไทยวัยเกษียณ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) นำรถส่วนตัวที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ มาสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มของแกร็บ
แกร็บบอกว่า ที่ผ่านมาแกร็บก็เปิดโอกาสให้ทุกคนมาสร้างอาชีพบนแพลตฟอร์มได้อย่างเท่าเทียมอยู่แล้ว คือไม่เคยจำกัดเพศ วัย การศึกษา หรือแม้แต่ผู้ที่มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย เช่น ผู้พิการทางการได้ยิน
คือเรียกได้ว่าใครๆ ก็สมัครเป็นคนขับแกร็บได้ ขอแค่มียานพาหนะ มีใจรักบริการ และไม่มีประวัติอาชญากรรม
ปัจจุบันแกร็บมีคนขับวัยเกษียณอยู่บนแพลตฟอร์มมากกว่า 3,700 คน แต่เพื่อจะต่อยอดให้คนกลุ่มนี้เพิ่มเติม แกร็บจึงจัดทำโครงการนี้ขึ้น เพราะมองว่ากิจกรรมหรืออาชีพเสริมทำ จะช่วยทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกดีกับตัวเอง ช่วยลดความเครียดและเพิ่มคุณค่าในตัวเองได้
โครงการ ‘แกร็บวัยเก๋า’ ที่ว่า แกร็บจะประชาสัมพันธ์ข้อมูลไปยังเครือข่ายของดีป้า ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงวัยว่ามาสมัครเป็นพาร์ทเนอร์คนขับกับแกร็บได้
นอกจากนี้ก็เตรียมทีมงานไว้คอยให้ข้อมูลและอำนวยความสะดวก ตั้งแต่ขั้นตอนการรับสมัคร การอบรมให้ความรู้ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือหากเกิดปัญหาในการให้บริการตลอดระยะเวลาการทำงาน
แล้วถามว่าเหล่าวัยเก๋าที่มาเป็นพาร์ทเนอร์คนขับกับแกร็บ เขารู้สึกอย่างไรกันบ้าง ลองมาฟังตัวอย่างจากพี่ๆ 2 คนนี้กัน
คนแรกก็คือ ‘พี่ณิ-ณิชาดา รัชตะกวัฒน์’ สาวเท่วัย 67 ปี ก่อนหน้านี้เคยเป็นข้าราชการที่แม้จะดูมั่นคง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองรัก เลยเกษียณก่อนกำหนดมาตามหาเส้นทางของตัวเอง
พี่ณิเล่าว่า หลังจากที่ลาออกจากงานราชการแล้ว งานแรกที่ทำคือการผันตัวไปเป็นแม่ค้า ช่วยน้องสาวขายกระเป๋าหนังจระเข้ที่ตลาดนัดจตุจักร ตอนนั้นทำอยู่ 3 ปี รายได้ดีมาก

‘พี่ณิ-ณิชาดา รัชตะกวัฒน์’
“แต่ด้วยความที่พี่เป็นคนชอบเดินทางท่องเที่ยว ต่อมาเลยตัดสินใจไปเป็นไกด์พาคนไปเที่ยวต่างประเทศ และขับรถพาชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวในไทย
“จนมาถึงจุดเปลี่ยนในวันที่คุณแม่ป่วย พี่เลยต้องแบ่งเวลาเพื่อดูแลคุณแม่มากขึ้น แต่อีกใจก็อยากหารายได้ไปด้วย เมื่อมองดูทรัพยากรที่เรามีอยู่ในตอนนั้น นั่นคือรถยนต์คู่ใจที่เคยพาเราไปทุกๆ ที่ เลยตัดสินใจลองมาขับแกร็บคาร์ ซึ่งเป็นอาชีพที่พี่คิดแล้วว่า ทำให้พี่แบ่งเวลาดูแลคุณแม่ไปพร้อมๆ กับการหารายได้ควบคู่ไปด้วยได้”
กลายเป็นว่าพี่ณิได้เจออาชีพที่ตอบโจทย์ คือมีอิสระ สร้างรายได้ให้ตัวเองได้ และมีเวลาได้ดูแลแม่ ทำให้เธอทำอาชัพขับแกร็บคาร์เรื่อยมา
ส่วนอีกคนหนึ่งคือ ‘พี่เมธ-สุเมธ โตเพราะญาติ’ วัย 62 ปี อดีตพนักงานที่ทำงานบริษัทมากว่า 40 ปี แต่ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกบีบให้ลาออกเพราะอายุที่มากขึ้น
แต่พี่เมธปล่อยให้การตัดสินใจของคนอื่นมาบั่นทอนตัวเอง เขาเปดประตูบานใหม่ให้ชีวิตด้วยการไปขับแกร็บฟู้ด โดยเริ่มจากทำเป็นอาชีพเสริม จนเริ่มมั่นใจว่าเป็นอาชีพที่เหมาะกับตัวเอง จึงลาออกจากงานประจำมาขับแกร็บเต็มตัว

พี่เมธ-สุเมธ โตเพราะญาติ
“แม้การเป็นพนักงานบริษัทจะเป็นงานที่ทำให้เรามีรายได้มั่นคง แต่การขับแกร็บเป็นอาชีพที่ให้อิสระกับเรามากกว่า อีกอย่างตัวผมเองก็อายุเยอะแล้ว การจะไปสมัครงานที่ใหม่ก็ยากขึ้น เพราะบริษัทส่วนใหญ่มักจะมองว่าพนักงานที่สูงอายุเป็นภาระมากกว่าเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า
“ในวันนี้ที่ผมได้มีโอกาสมาขับแกร็บฟู้ด ผมกลับรู้สึกสนุกกับงานนี้นะ เพราะเป็นงานบริการที่ได้เจอผู้คนหลากหลาย ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมอาชีพ
“ในบางวันก็มีเหตุการณ์น่าประทับใจ อย่างเคยมีลูกค้าสั่งอาหารให้เราด้วยและบอกให้สู้ๆ รู้ว่าเหนื่อยเลยสั่งให้ ยิ่งทำให้ผมมีกำลังใจ และมีความสุขในสิ่งที่ทำ การขับแกร็บจึงตอบโจทย์ชีวิตผมทั้งในแง่ของความสุขและรายได้”
และนี่ก็คือตัวอย่างของ 2 วัยเก๋า ที่ไม่หยุดเรียนรู้ และพร้อมเปิดใจก้าวไปทำสิ่งใหม่ๆ จนสร้างเป็นอาชีพได้ ซึ่ง TODAY Bizview หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่อ่านอยู่ได้เช่นกัน