มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวทีเสวนาทางวิชาการ “การปล่อยตัวชั่วคราว ทางปฏิบัติที่ขัดรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 29 วรรค2” บนเวทีมีวิทยากรร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงปัญหา สิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ควรจะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวและความไม่สอดคล้องของหลักการปล่อยตัวชั่วคราว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กับหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรค 2
วันที่ 2 พ.ย. 2562 รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ในหลักการพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ กำหนดว่าบุคคลเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งหลักการสอดคล้องกับหลักกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง International Covenant on Civil and Political Rights หรือ (ICCPR) แต่พบปัญหาในการปฏิบัติที่ศาลยึดหลักการพิจารณาหลักทรัพย์ประกันตัวมากกว่าการตีความในมาตรา 29 วรรค 2 ทำให้เกิดประโยค คุกมีไว้ขังคนจน เพราะดุลยพินิจศาลที่พิจารรณาหลักทรัพย์คือความน่าเชื่อถือ ความมั่นคง ขณะที่คนจนไม่มีหลักทรัพย์ทำให้ต้องถูกจำคุกเพราะไม่มีความน่าเชื่อถือ เรียกว่าเป็นหลักการพิจารณาแต่คนมีเงิน ซึ่งหากตีความรัฐธรรมนูญในการสั่งจำคุกนั้น คือต้องมีองค์ประกอบ 3 ข้อ คือ มีพฤติการณ์หลบหนี,ยุ่งเหยิงในคดี และมีพฤติการณ์ก่อเหตุร้าย ซึ่งหากผู้กล่าวหาไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้ รัฐธรรมนูญระบุว่าผู้ถูกกล่าวหายังบริสุทธิ์ ซึ่งต้องปล่อยตัวชั่วคราวและไปสู้ในชั้นศาลต่อไป
รศ.ดร.ปกป้อง ได้ยกตัวอย่างประเทศฝรั่งเศส ที่ได้กำหนดกฎหมาย ศาลให้สิทธิ์ปล่อยตัวชั่วคราว โดยไม่เรียกหลักทรัพย์ประกันตัว ทำให้เกิดความเสมอภาคของประชาชน เพราะไม่ว่าคนจนหรือคนจนมีมีพฤติการณ์ 3 ข้อ คือ หลบหนี ยุ่งเหยิงในคดี และ ก่อเหตุร้าย จะต้องถูกจำคุกเหมือนกัน
ทั้งนี้ได้เสนอแนะทางแก้ไข 3 ประการ คือ 1.แก้กฎหมายป.วิอาญา ให้ยึดหลักการพิจารณาระบบประเมินความเสี่ยงพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหา มาเป็นหลักมากกว่าหลักประกันที่เป็นทรัพย์ เพื่อให้ศาลยกเลิกการคำนึงความน่าเชื่อถือของหลักประกัน 2.ศาลสามารถออกคำสั่งพิเศษ เช่นตัวอย่างศาลที่ประเทศฝรั่งเศส ที่ได้ออกคำสั่งพิเศษกับผู้ที่ถูกปล่อยตัว เพื่อให้มีความมั่นใจว่าจะไม่หลบหนี เช่นการรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ 3.ศาลควรยึดหลักพิจารณา การปล่อย คือสิทธิเป็นหลัก โดยหากศาลที่พิจารณาสั่งจำคุก คุมขังในกรณีคดียังไม่สิ้นสุดนั้น จะต้องเขียนรายงานถึงมูลเหตุจูงใจที่ต้องสั่งขัง
ด้านนายฉโลก ศิริสินธว์ อัยการอาวุโส ผู้แทนอัยการสูงสุด แสดงความเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญกำหนดสิทธิคือประโยชน์ที่รัฐคุ้มครองให้บุคคลที่ต้องมีอิสรภาพ โดยยอมรับว่าหลักการปฏิบัติจริงไม่เท่าเทียมกัน เพราะการยึดถือหลักทรัพย์เป็นหลักประกันยิ่งทำให้เกิดช่องว่างการคอรัปชั่น เพราะมีการวิ่งเต้นหาหลักทรัพย์ ผู้ค้ำประกัน ขณะที่คนจนที่ไม่คอนเนคชั่นถูกละเมิดและติดคุก ทั้งนี้เสนอ ให้ศาลคำนึงถึงฐานะผู้ถูกกล่าวหามากกว่าเงื่อนไขมูลค่าหลักประกัน
ด้านตัวแทนฝ่ายเมือง ชุดกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ระบุตัวอย่างกรณีการดำเนินคดีนายจตุพร บุญภัทรรักษ์ หรือไผ่ดาวดิน ซึ่งขณะนั้นกำลังศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัย กำลังจะสอบปลายภาค ศาลกลับไม่ให้ประกันตัวด้วยข้อกล่าวอ้างจากฝั่งผู้ร้อง ทั้งในช่วงแรกมีการเรียกหลักทรัพย์ประกันตัวสูงเกินสถานะนักศึกษา จนสุดท้ายด้วยหลายปัจจัยทำให้ไผ่ถูกจำคุกโดยไม่ให้ประกันตัวจนท้ายสุดให้การยอมรับสารภาพ เป็นที่มาของคำว่า สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน สารภาพติดพอประมาณ
ด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.เขต 18 กทม. พรรคเพื่อไทย ระบุว่าในการต่อสู้ทางกฎหมายในชั้นศาล จำเลยหรือผู้ถูกกล่าวหา สามารถนำรัฐธรรมนูญมาตรา 25 วรรค 3 ที่ระบุถึงสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยมากล่าวอ้างเพื่อให้ศาลใช้ดุลยพินิจพิจารณาปล่อยตัวได้ ซึ่งถ้ากากกระบวนการต่อสู้ หรือเห็นแย้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรมประชาชนสามารถใช้กระบวนการถ่วงดุลย์ด้วยการยื่นหนังสือต่อชุดกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรที่จะเข้าไปร่วมตรวจสอบด้านจริยธรรมของตุลาการได้ ส่วนตัวมองว่ามีข้อเสนอแนะให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณา