สำนักวิจัย Counterpoint กางตัวเลขยอดขายรถ EV และรถ PHEV ในสหรัฐ ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2023 พบว่ายอดขายโดยรวมพุ่งขึ้น 79% เทียบกับปีที่แล้ว ตัวช่วยสำคัญคือการอุดหนุนเงินภาษีสำหรับรถ EV
ผลคือตอนนี้ สหรัฐฯ แซงหน้าเยอรมนี กลายเป็นตลาดรถ EV ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากจีน โดยรถแบตเตอรี่ EV (BEV) คิดเป็น 81% ของยอดขาย ส่วนที่เหลือเป็นยอดขายรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV)
รถที่ขายดีที่สุดเป็น Tesla ทำยอดขายมากกว่ารถแบรนด์อื่นอีก 34 แบรนด์ รวมกันเสียอีก โดยมีส่วนแบ่งยอดขาย EV ที่ 62.72% รองลงมาเป็น GM 7.62% และ Volkswagen 6.31%
ส่วนรถประเภท PHEV ที่ขายดีที่สุดคือ Stellantis 43.85% รองลงมาคือ BMW 16.11% และ โตโยต้า 15.38%
สหรัฐฯ แม้เป็นประเทศให้กำเนิดแบรนด์รถพลังไฟฟ้าทรงพลังอย่าง Tesla แต่ที่ผ่านมา ในแง่การปรับเปลี่ยนมาใช้รถ EV ยังตามหลังยุโรปและจีน ที่สำคัญคือเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจ ยังเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้คนไม่มั่นใจจะซื้อรถราคาแพงขึ้น
แต่จากตัวเลขล่าสุด สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์เงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย คนมีความมั่นใจจะซื้อมากขึ้น มาตรการช่วยเหลือเรื่องเงินภาษีสำหรับรถ EV ก็มีส่วนสำคัญมาก
Abhik Mukherjee นักวิเคราะห์มองว่า แม้ยอดขาย EV จะเติบโต แต่ยอดขายของรถยนต์นั่งทั่วไปยังคงทรงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากเครดิตภาษี EV ที่สูงถึง 7,500 ดอลลาร์ (กว่าสองแสนบาท) ช่วยดันยอดขาย EV
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีรถยนต์ประมาณ 20 รุ่นโดย Tesla, GM, Ford, Stellantis, Rivian และ Volkswagen มีสิทธิ์ได้รับเครดิตภาษี แต่มีอีกหลายรุ่นที่ไม่ได้ เช่น Hyundai, Nissan, BMW, Audi และ Volvo เนื่องจากเงื่อนไขเครดิตภาษีที่เข้มงวดของรัฐบาลสหรัฐฯ
ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย Jeff Fieldhack ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดว่า “การลงทุนห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ EV ให้มีความคล่องตัว การจัดตั้งสถานีชาร์จ EV และการตั้งโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่ทั่วประเทศ จะช่วยดันยอดขาย EV ขึ้นไปอีก เราจึงคาดว่ายอดขายรถ EV ของสหรัฐจะสูงถึงประมาณ 1.5 ล้านคัน ภายในปี 2023 นี้”
ที่มา : https://www.counterpointresearch.com/us-ev-sales-q1-2023/