“เราไม่สามารถเป็นซิลิคอนวัลเลย์ แต่เราสามารถเป็นไทยวัลเลย์” อะไรคือโอกาส ‘ธุรกิจไทย’ ในปี 2024

“เราไม่สามารถเป็นซิลิคอนวัลเลย์ แต่เราสามารถเป็นไทยวัลเลย์” คือประโยคที่ ‘หมอคิด-ศุภชัย ปาจริยานนท์’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท RISE ตอบ เมื่อถูกถามถึง ‘โอกาส’ ของประเทศไทยที่ปัจจุบันมี Global Innovation  Index อยู่ในระดับกลางๆ ที่อันดับ 43 ของโลก

‘หมอคิด’ อธิบายว่า “เราไม่สามารถเป็นซิลิคอนวัลเลย์ แต่เราสามารถเป็นไทยวัลเลย์” เพราะว่าซิลิคอนวัลเลย์เองก็ไม่สามารถมีหาดทราย ภูเขา พื้นที่ทำนา การรักษาพยาบาลจากหมอเก่งๆ เหมือนกับที่ประเทศไทยมี

ดังนั้น จึงอยู่ที่ว่าเราจะสามารถส่งเสริมจุดแข็งของประเทศไทยอย่างไรบ้าง

ยกตัวอย่างเช่น ‘อุตสาหกรรมเกษตร’ ที่แม้ว่า 70% ของประชากรไทยจะเป็นเกษตรกร แต่ปัจจุบันประสิทธิภาพในการปลูกด้อยกว่าเพื่อนบ้าน ทำให้ ‘ผลผลิตต่อไร่’ ต่ำ ที่ยังสามารถรักษาปริมาณการส่งออก เพราะอาศัยพื้นที่ในปลูกข้าวมาก

ถ้าสามารถนำนวัตกรรมมาใช้ได้ก็จะสามารถทำการเกษตรให้ได้ผลิตผลมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้พื้นที่มากๆ

ในต่างประเทศมีสตาร์ทอัปอย่าง ‘Verdant Robotics’ ที่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยชาวนาชาวสวนตรวจจับ-ยิงเลเซอร์ใส่วัชพืชได้ละเอียดแม่นยำและสามมรถเพิ่มโปรดักติวิตี้ได้ 80% หรืออย่างในประเทศไทยก็มี ‘Ricult’ สตาร์ทอัปทางด้านเกษตรที่มุ่งช่วยเกษตรกรไทยเช่นเดียวกัน

[ โลกกำลังมุ่งหน้าสู่ Deep Tech ]

ปัจจุบัน สตาร์ทอัปไทยผ่านมาหลายเวฟ (wave) 

เวฟแรก คือ Telecomunication เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่เริ่มเปลี่ยนแปลงจากการสื่อสารผ่านโทรศัพท์ด้วยเสียงอย่างเดียวมาเป็นสมาร์ทโฟน ทำให้เกิดสตาร์ทอัปเจ้าของแอปพลิเคชันต่างๆ มากมาย

เวฟสอง คือ E-Commerce ที่ทำให้เกิดสตาร์ทอัปภายใน Ecosystem มากมาย อย่างเช่น Flash Express 

เวฟสาม คือ Finance Technology ที่ตามมาในภายหลัง อย่างในประเทศไทยมี ‘พร้อมเพย์’ เข้ามาดิสรัประบบการชำระเงิน ทำให้เกิดการโอนเงินโดยไม่มีค่าบริการ

และเวฟต่อไป ‘Deep Technology หรือเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีสิทธิบัตรและต้องใช้การค้นคว้าวิจัยเชิงลึก อย่างเช่น Robotic หรือ Blockchain รวมถึง Climate Tech ด้วย 

‘หมอคิด’ บอกว่า ในบริบทของประเทศไทยมีอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ คือ ‘สุขภาพและการแพทย์’ ที่หมายรวมถึง Bio Tech, Health Tech, Life Science Tech เพราะประเทศไทยมีแพทย์เก่ง สามารถนำมาเป็นจุดแข็งของประเทศไทยได้

ยกตัวอย่าง สตาร์ทอัปทางการแพทย์ที่น่าสนใจและกำลังจะเข้ามาในประเทศไทยและได้รับอนุญาตจาก อย. เรียบร้อยแล้ว อย่าง Qvin สตาร์ทอัปเจ้าของนวัตกรรมผ้าอนามัยเก็บรักษาเลือดให้ใกล้เคียงกับเลือดที่เจาะออกมาจากร่างกาย ที่สามารถดึงชิ้นส่วนเก็บรักษาเลือดออกมาจัดส่งไปตรวจและรับผลเลือด

[ ไทยมีคนเป็นขุมพลัง แต่ยังต้องการการสนับสนุน ]

หลายคนมองว่า “ไทยเป็นผู้บริโภคเทคโนโลยี” ไม่ใช่ผู้ผลิตเทคโนโลยี แต่ ‘หมอคิด’ บอกว่า จริงๆ แล้วมองเป็น 2 ส่วน คือ อย่างแรกประเทศไทยก็มีสตาร์ทอัปเจ๋งๆ อย่างเช่น ไลน์แมนวงใน ที่เป็นผู้สร้างแพลตฟอร์มให้คนขายกับคนซื้อได้มาเจอกัน

นอกจากนั้น ประเทศไทยยังมีบริษัทอย่าง Agoda ที่เป็นเทคคอมปานีระดับท็อปในใจของใครหลายๆ คนก็สร้างบริษัทในประเทศไทยและสามารถเติบโตที่นี่ได้ แปลว่า “ไทยสามารถเป็นฐานทัพ เป็นพื้นที่สร้างธุรกิจบนโลกดิจิทัลได้”

“วันนี้เมืองไทยมีเด็กทุนมากมาย ทำยังไงให้คนเหล่านี้กลายเป็นขุมพลังของประเทศไทย ตอนนี้พี่น้องคนไทยเก่งๆ หลายคนพยายามจะกลับมาที่นี่ มาสร้างบริษัทของตัวเองที่นี่ มาทำ Deep Tech Company ที่นี่ และผมเชื่อว่าเราจะเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ”

“แต่ยังไงก็ตามเราก็ยังต้องการการซัพพอร์ตจากภาครัฐ ในแง่นโยบาย ทุน อีโคซิสเตมการลงทุนของ Corporate Venture Capital ประเทศไทยน่าจะเริ่มก้าวสเต็ปแรกที่ใหญ่มากๆ ในเรื่องของ Deep Tech ได้”

โดยในบรรดา Deep Tech ทั้งหมด ‘หมอคิด’ เชื่อว่า Climate Tech หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก มีการเติบโตสูงมาก และได้รับเงินทุนมากที่สุดในโลก

[ ธุรกิจต้องเดินหน้า สร้าง New S-Curve ]

หมอคิด อธิบายว่า ‘RISE’ มี 2 เป้าหมายหลักในฐานะผู้ผลักดันด้านนวัตกรรมและสถาบันที่ช่วยองค์กรต่างๆ ติดสปีดด้านนวัตกรรม สร้าง New S-Curve ให้กับธุรกิจต่างๆ คือ เพิ่ม 1% GDP ให้ไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และลด 1% คาร์บอนให้โลก

โดยวิธีการติดสปีดด้านนวัตกรรมทำได้ด้วย 3 วิธีการหลักๆ คือ

หนึ่ง เอาข้างนอกเข้าข้างใน (outside in) หยิบยืมเทคโนโลยีจากข้างนอกเข้ามาใช้ สำหรับหลายๆ บริษัทที่ยังสร้างนวัตกรรมไม่ได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถพัฒนาธุรกิจได้เท่าทันโลก

สอง เอาข้างในไปข้างนอก (inside out) สร้างสตาร์ทอัปจากภายในองค์กร ด้วยฝีมือของบุคลากรภายในองค์กร อย่างเช่นหลายๆ บริษัทเลือกทำแฮกกาทอนภายในองค์กร อย่างเช่นการเกิดขึ้นของ Roddonjai เป็นต้น

สาม คือ ที่ปรึกษา สำหรับองค์กรที่ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน RISE จะมีเครื่องมือวัดระดับนวัตกรรมในองค์กรและระดับดิจิทัลทรานฟอร์มเมชันว่าปัจจุบันมีความพร้อมต่อ New S-curve หรือไม่ และให้คำแนะนำที่เหมาะสม

โดย RISE เชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากผู้นำขององค์กรก่อน ดังนั้น ทุกๆ ปีตั้งแต่ปี 2019 จึงได้เริ่มจัดงาน Corporate Innovation Summit งานสัมมนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบลงมือทำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ที่มีผู้บริหารหลักพันคนเข้ามาเข้ารู้ ลงมือทำไปพร้อมกัน

และปัจจุบันเดินทางมาถึง Corporate Innovation Summit 2023 (CIS 2023) ในธีม Accelerating Growth While Saving the World เน้นนวัตกรรมและความยั่งยืนควบคู่กันไป

ในปีนี้มีสปีคเกอร์หลักร้อยคน มีเวิร์คชอปกว่า 60 เวิร์คชอป ภายใต้ 5 หัวข้อหลักอย่าง Corporate Innovation, Sustainability, Deep Technology, People Transformation และ Future of Investment

โดยกำลังจะจัดขึ้นในวันที่ 14-15 พฤศจิกายนนี้ ณ True Digital Park สามารถสำรองบัตรด้วยโค้ดส่วนลดพิเศษ! ‘TODAY’ ที่ช่องสั่งซื้อหน้าเว็บไซต์ Eventpop รับส่วนลดทันที 1,000 บาทจากราคาปกติ

คลิก https://www.eventpop.me/e/16216/cis2023?utf8=%E2%9C%93&discount_code=TODAY