‘อ.ปริญญา’ มองถ้า ‘ประธานสภาฯ’ ไม่ใช่ของ ‘ก้าวไกล’ เส้นทางสู่นายกฯ ‘พิธา’ จะลำบาก

ปมเก้าอี้ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ  ‘ประธานสภาผู้แทนราษฎร’ ที่กำลังจะเลือกในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง และเขย่าเสถียรภาพการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของ ‘ก้าวไกล’ และ ‘เพื่อไทย’ อย่างเห็นได้ชัด

เมื่อ ‘เพื่อไทย’ แถลงในเย็นวันที่ 27 มิ.ย. 66 ยืนยัน จะยึดเก้าอี้ประธานสภาฯ ย้ำสูตร 14+1 คือ ‘เพื่อไทย’ ฐานะพรรคอันดับ 2 ในการเลือกตั้ง 66 ต้องได้เก้าอี้รัฐมนตรี 14 ตำแหน่ง บวกประธานสภาฯ อีก 1 ตำแหน่ง ขณะที่ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มวันเดียวกัน ทาง ‘ก้าวไกล’ ก็เปิดตัวแคนดิเดต ประธานสภาฯ  ‘ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล และได้แจ้งสื่อมวลชนกลางดึก เลื่อนการประชุมปมประธานสภาฯ กับพรรคเพื่อไทย จากเดิมที่นัดหมายจะประชุมเจรจากันในวันนี้ (28 มิ.ย. 66) เวลา 10.00 น. ณ ที่ทำการของพรรคเพื่อไทย และเป็นเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด!

ในวันที่ 26 มิ.ย. 66 ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะเปิดเผยผลการประชุมดังกล่าวต่อสาธารณชน ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้วิเคราะห์ใน TODAY LIVE ไว้ว่า ถ้า 2 พรรคใหญ่ อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ตกลงเรื่องตำแหน่ง ‘ประธานสภาฯ’ กันไม่ได้ จะกระทบต่อเส้นทางสู่การเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกลแน่นอน

[เลือกประธานสภาฯ เพื่อไปโหวตนายกฯ]

อาจารย์ปริญญา อธิบายความสำคัญของประธานสภาฯ ว่า ประธานสภา คือ ประธานรัฐสภา เป็นคนกำหนดวันประชุม สั่งปิดประชุมได้ เป็นคนที่บทบาทสำคัญมากๆ และครั้งนี้มีผลต่อการโหวตนายกรัฐมนตรีของคุณพิธาอย่างมาก เพราะถ้าหากรอบแรกคุณพิธา ได้เสียงสนับสนุนไม่ถึง 376 คำถามคือเพื่อไทยจะปล่อยให้เสนอชื่อคุณพิธากี่ครั้ง สมมุติว่าขาดเสียงไม่มาก มีลุ้นรอบ 2 แต่ถ้า ประธานสภาฯ เป็นของเพื่อไทยโอกาสที่ได้โหวตอีกมองว่าลำบาก อันนี้เป็นเกมในสภาฯ เพราะสำคัญแบบนี้ก้าวไกลให้ลำบาก และแบบนี้เพื่อไทยถึงอยากได้ เหมือนจะจบๆ ก็ปะทุขึ้นมาอีก

“ถ้าหากว่าประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่ของพรรคก้าวไกล ผมเข้าใจว่าสถานีต่อไป เห็นจะไปถึงลำบากแล้วคุณพิธา ไม่ได้แปลว่าได้เป็นประธานสภาฯ แล้วจะได้เป็นนายกฯ แน่ แต่มันไปต่อได้ คือถ้าหากว่า ประธานสภาฯ ไม่ได้จะลำบาก แล้ว ส.ว. จำนวนมาก จะมีข้ออ้างว่า เห็นไหมเสียงข้างมากมีไม่จริง เห็นไหมเพื่อไทยยังไม่ยอมเลย จะมีเหตุ” อาจารย์ปริญญา กล่าว

[4 ก.ค. สำคัญมากกว่าแค่ได้ ‘ประธานสภาฯ’]

สิ่งที่ถูกมองมาตลอดก็คือการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล จะได้เสียงสนับสนุนถึง 376 เสียงหรือไม่ ด้วยท่าทีจาก ส.ส. ขั้วรัฐบาลเดิมหมดหวังแล้ว อีกทั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ส.ว. ยังมีสิทธิเลือกนายกฯ ด้วย อาจารย์ปริญญา มองว่า ยังมีความหวัง เพราะตามที่เข้าใจ ส.ว. มี 3 กลุ่ม คือกลุ่มของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลุ่มของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และกลุ่มอิสระจริงๆ ประมาณ 50 คน สมมุติว่าได้เสียงจาก ส.ส. ซึ่งตนคิดว่าน่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์มา อีก 64 เสียง จากที่มีตอนนี้ 312 เสียง ยังมีลุ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานี 4 ก.ค. วันเลือกประธานสภาฯ

“มีผลเยอะ วันที่ 4 ก.ค. ชิงประธานสภาผู้แทนราษฎร มันหมายถึงพลัง ไม่ใช่กึ่งผ่านกึ่งยิงนะ ต้องยิงเข้านะครับ ถ้ายิงไม่เข้าก็ไม่ได้ไปต่อ คือไปต่อได้อย่างยากลำบาก” อาจารย์ปริญญา ย้ำความสำคัญ

อาจารย์ปริญญา บอกด้วยว่า ในทางการเมืองอย่างไร พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยต้องตกลงเรื่องนี้กันให้ได้ เพราะเสียงที่ 2 พรรคได้รับ เป็นเสียงที่ประชาชนคาดหวังรัฐบาลจากฝ่ายค้าน และถ้าตกลงกันไม่ได้ ใครจะเป็นจำเลย ก็เพื่อไทยนั่นแหละ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวออกมาเรื่อยๆ เรื่องที่พล.อ.ประวิตรไปเจออังกฤษแล้วเจอใครบางคน รวมถึงท่าทีของไพศาล พืชมงคล อดีตคนสนิทของพล.อ.ประวิตร ก็มีสัญญาณที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม ถ้าตกลงกันไม่ได้ ตนเสนอหลักการ พรรคอันดับ 1 เสียงต้องดังกว่า เพราะนี่คือการเลือกประธานสภาฯ เพื่อไปเลือกนายกฯ ถ้าเพื่อไทยดึงดันมากไป ผลเสียจะอยู่ที่เพื่อไทย เพื่อไทยไม่ใช่พรรคชั่วคราว แม้จะถูกยุบมา 2 ครั้ง แต่ต้องมองการเมืองถึงคราวหน้า ถ้าไม่เดินเรื่องนี้ให้ดี คราวหน้าจะมาพลิกชนะที่ 1 จากก้าวไกลเห็นจะลำบากเหมือนกัน

ติดตามทั้งหมดในคลิปสัมภาษณ์เต็ม ได้ที่นี่ :