The Pizza Company อยู่ยังไงให้รอด ยุคธุรกิจอาหารแสนเหนื่อย

ธุรกิจร้านอาหารตอนนี้กำลังซบเซาด้วยภาวะเศรษฐกิจ และต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้านคู่แข่งเองก็เยอะขึ้น สตรีทฟู้ดก็เข้ามาชิงการขายของร้านอาหาร ขณะที่แบรนด์ร้านอาหารจากต่างประเทศก็เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นเช่นกัน 

สมรภูมินี้บางร้านอาจจะต้องปิดตัวไป บางร้านก็ยังแข็งแรงสู้ต่อ แต่ร้านที่โตสวนกระแสก็มี อย่างเช่นเคสของ The Pizza Company ในปีที่แล้ว (ปี 2024) ตลาดพิซซ่ามีมูลค่าราวๆ 11,000 ล้านบาทหรือโตแค่ราว 5% แต่ The Pizza Company กลับมียอดขายเพิ่มขึ้น 5% และมีลูกค้าเพิ่มขึ้น 12% 

TODAY Bizview  ได้พูดคุยกับ ‘ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์’ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยได้รีแคปกลยุทธ์ของ The Pizza Company มาฝากกัน 

[ ไม่ปรับขึ้นราคา เน้นคุมต้นทุนให้ดี  ]

‘ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์’ เล่าให้ฟังว่า ในปีที่แล้ว(ปี 2024) ธุรกิจร้านอาหารแข่งขันกันรุนแรงมาก มีหลายแบรนด์เข้ามาตีตลาดร้านอาหาร ขณะที่ด้านธุรกิจสตรีทฟู้ดเองก็เข้ามาแย่งฐานลูกค้าไปมากขึ้น ทำให้ธุรกิจ Same Store ต้องดิ้นรนให้ยอดขายดีขึ้น ดึงลูกค้าเข้าร้านให้ได้

ถ้ามาดูในพอร์ตของธุรกิจอาหารเครือ ไมเนอร์ ฟู้ด จะพบว่า The Pizza Company กลับเป็นธุรกิจ Same Store ที่มีสาขามากที่สุด ซึ่งมีความเหนื่อยตรงที่ผู้บริโภครัดเข็มขัดการใช้จ่ายต่อบิลของลูกค้าลดลงมาเหลือที่ 500-550 บาท แต่ยอดขายกลับเยอะขึ้น หรือเพิ่มขึ้นราวๆ 5% แต่ถ้านับในด้านการเติบโตของลูกค้า The Pizza Company ก็โตขึ้นถึง 12% อธิบายง่ายๆ ว่าในปีที่แล้วของพิซซ่าลูกค้าเข้าร้านมากขึ้น แม้การใช้จ่ายต่อบิลจะน้อยลงก็ตาม 

สิ่งที่ The Pizza Company ทำในปีที่แล้วคือ ‘ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ’ เริ่มจากเรื่องการไม่ปรับขึ้นราคาและควบคุมต้นทุนให้ดี เพราะปีที่ผ่านมาผลกระทบทั้งโลกคือต้นทุนเนื้อสัตว์สูงขึ้น โดยเฉพาะโกโก้แพงขึ้น 200% เลยทีเดียว ด้าน The Pizza Company ไม่ขึ้นราคา แต่เน้นควบคุมต้นทุนให้ดี เพราะต้องมีต้นทุนแรงงานเข้ามาเสริมด้วย 

นอกจากนี้ ยังขยายเมนูสำหรับกลุ่มลูกค้านั่งทานในร้าน เช่น พาสต้า สเต๊ก สลัด เปิดตัวพิซซ่าซูเปอร์ 129 บาท เน้นเรื่องความคุ้มค่า ตลอดจนเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์มาคนเดียว ด้วยการเปิดตัว “BiTE” ช่วยเพิ่มโอกาสในการเลือกทานฟาสต์ฟู้ด

และทำแคมเปญการตลาดออกมาเรื่อยๆ เอาใจกลุ่มที่เป็นรอยัลแฟนของ The Pizza Company ด้วย เช่น ให้ส่วนลดหรือโปรโมชั่นที่พิเศษขึ้น ทำให้ปัจจุบันมียอดสมาชิกมากกว่า 2 ล้านบัญชีแล้ว ซึ่งก็มีผลสำเร็จที่วัดได้จากความถี่ในการใช้บริการเพิ่มจาก 2.5 ครั้งต่อเดือน เป็น 3.5 ครั้งต่อเดือนแทน

[ ทำให้สาขาเยอะขึ้น ส่งถึงใน 20 นาที ]

‘ปัทม์ พงษ์วิทยาพิพัฒน์’ ยังเล่าให้ฟังอีกว่า สำหรับในปีนี้ (ปี 2025) The Pizza Company จะเริ่มปรับกลยุทธ์การขายตั้งแต่เรื่องของสาขาก่อน จะเปิดสาขาใหม่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งจะทำให้แบรนด์ครอบคลุม 77 จังหวัดในไทย 

พร้อมทั้งขยายสาขาเพิ่มขึ้นราวๆ 20 สาขา แบ่งเป็น 60% ในโซนต่างจังหวัด อาจจะเป็นสาขาสแตนอโลนเพราะลูกค้าต่างจังหวัดนิยมมาสั่งซื้อทานที่บ้านมากกว่าทานที่ร้าน และอีก 40% เป็นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยงบลงทุนราวๆ 200 ล้านบาท พร้อมด้วยงบรีโนเวทอีก 100 ล้านบาท และงบโฆษณา 300 ล้านบาท

เมื่อมีสาขามากขึ้นจะทำให้การขายรูปแบบเดลิเวอรี่จะสมบูรณ์แบบขึ้น เฉลี่ยต่อออเดอร์ลูกค้าจะได้รับอาหารภายใน 20 นาที ซึ่งตอนนี้การขายแบบรูปแบบเดลิเวอรี่ก็แบ่งสัดส่วนออกเป็น 50% จากแอปพลิเคชัน The Pizza Company อีก 50% ก็เป็นจากฟู้ดเดลิเวอรี่ต่างๆ 

นอกจากนี้ ในเรื่องของ Call Center ที่เมื่อก่อนใช้ไว้โทรสั่งพิซซ่า ตอนนี้คนเริ่มโทรสั่งน้อยลง ก็เริ่มปรับให้กลายมาเป็นเหมือน Customer Service ช่วยเหลือลูกค้ามากขึ้นแทน

[ เปิดตัวน้องหนานุ่ม ลุย Mascot Marketing ]

และอีกหนึ่งการตลาดที่ The Pizza Company เอามาลงเล่นมัดใจลูกค้าในปีนี้คือเปิดตัว “น้องหนานุ่ม” ตัวแทนของแบรนด์ น้องมาในรูปแบบพิซซ่าแป้งหน้านุ่ม ดูแล้วนุ่มฟู ทั้งนี้ยัง เตรียมกระตุ้นยอดขายต้นปีด้วยการกลับมาของแคมเปญใหญ่ “ซื้อ 1 แถม 1 พร้อมบวก” ทุกหน้า ทุกขอบ ทุกช่องทางไว้ด้วย และคาดว่าแคมเปญนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น 4-5% และช่วยเพิ่มฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้