สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับคำถามใหญ่ ถึงความแตกแยกระหว่างฝ่ายกับฝ่ายบริหาร หลังจากรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพิกเฉยต่อคำตัดสินของศาลรัฐบาลกลาง ที่ให้ระงับใช้กฎหมายคนต่างด้าวชาติศัตรู (Alien Enemies Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18
หลังศาลมีคำตัดสินดังกล่าว ประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงดึงดันใช้กฎหมายนี้เนรเทศชาวเวเนซุเอลากว่า 200 คนที่ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกอาชญากรรมระหว่างประเทศก่อเหตุในคดีลักพาตัวกรรโชกทรัพย์และรับจ้างฆ่า
ชาวเวเนซุเอลาทั้งหมดถูกส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำเซคอต (Cecot) ซึ่งเป็นศูนย์กักกันผู้ก่อการร้ายขนาดใหญ่ในเอลซัลวาดอร์ สามารถคุมขังนักโทษได้ถึง 40,000 คนและขึ้นชื่อว่าเป็นเรือนจำที่โหดที่สุดในอเมริกากลางมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขังทุกรูปแบบ
ท่ามกลางคำถามว่า การดำเนินการของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ หรือไม่ เพราะการส่งตัวชาวเวเนซุเอลาไปเอลซัลวาดอร์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ ผู้พิพากษาเจมส์ โบอาสเบิร์ก แห่งศาลแขวงสหรัฐในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กำลังพิจารณาถึงความเหมาะสมในการใช้คนต่างด้าวชาติศัตรูกับผู้ต้องหากลุ่มนี้
ฝ่ายตุลาการ–รัฐบาล เกิดรอยร้าว
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นระหว่างรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ และฝ่ายตุลาการ เพราะสุดท้ายผู้พิพากษาโบอาสเบิร์ก มีคำตัดสินให้ระงับใช้กฎหมาย Alien Enemies Act ชั่วคราว
โดยให้เหตุผลว่า กฎหมายคนต่างด้าวชาติศัตรู ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เอามาอ้าง ใช้ได้กับเฉพาะในกรณีที่มี “การกระทำอันเป็นปรปักษ์จากชาติอื่นที่มีสถานะเทียบเท่าสงคราม” เท่ากับว่าการเนรเทศชาวเวเนซุลา ทำไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ
ผู้พิพากษาโบอาสเบิร์กจึงออกคำสั่งตามมา ให้รัฐบาลสหรัฐฯ นำตัวชาวเวเนซุเอลาทั้งหมด ที่ถูกนำตัวขึ้นเครื่องบินออกจากสหรัฐฯ ไปตั้งแต่ช่วงเย็นของวันเสาร์ (15 มี.ค.) และกำลังอยู่ระหว่างเดินทางไปเอลซัลวาดอร์กลับมายังสหรัฐ
แต่รัฐบาลไม่ทำตาม ยังคงนำตัวสมาชิกแก๊งเวเนซุเอลาดังกล่าวมุ่งตรงไปยังเอลซัลวาดอร์ และส่งตัวทั้งหมดเข้าเรือนจำเซคอต โดยไม่ทราบเวลาถึงที่แน่ชัด แต่มีสื่อหลายสำนักคาดเดาไปในทางเดียวกันว่า น่าจะเป็นหลังจากที่ ผู้พิพากษาโบอาสเบิร์ก ออกคำสั่งให้เครื่องบินวกกลับในเวลา 19.25 น. เนื่องจากภาพที่ปรากฏบนสื่อในขณะที่ผู้ต้องหาเดินลงจากเครื่องบินเป็นช่วงเวลากลางคืนที่ท้องฟ้ามืดสนิท
ทำให้ผู้พิพากษาโบอาสเบิร์กตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลจงใจเพิกเฉยต่ออำนาจศาล เพราะรัฐบาลรู้ตั้งแต่ที่เครื่องบินจะออกเดินทางแล้วว่า เขากำลังพิจารณาความเหมาะสมของการใช้กฎหมาย Alien Enemies Act อยู่แต่รัฐบาลไม่ยอมระงับการเนรเทศเอาไว้ก่อน
และในตอนที่มีคำสั่งให้เครื่องบินวกกลับ ก็ยังเป็นช่วงที่ผู้ต้องสงสัยยังอยู่บนเครื่องบินอเมริกัน “แล้วรัฐบาลเอาอะไรมาคิดว่าอำนาจศาลอเมริกันจะไม่สามารถใช้กับเครื่องบินที่บินออกจากสหรัฐฯ ได้ แม้จะอยู่ในน่านฟ้าสากล” ผู้พิพากษาโบอาสเบิร์กกล่าว
ส่วนฝั่งรัฐบาล แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว ได้ออกแถลงการณ์มาโต้แย้งว่า “ผู้พิพากษาเพียงคนเดียวในเมืองเดียว ไม่มีอำนาจมาสั่งการกำหนดการเคลื่อนที่ของเครื่องบินที่เต็มไปด้วยผู้ก่อการร้ายต่าวชาติที่ถูกขับออกจากดินแดนสหรัฐฯ”
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่แค่รัฐบาลสหรัฐฯที่ท้าทายคำสั่งศาลเพราะหลังจากที่คำตัดสินของผู้พิพากษาโบอาสเบิร์กถูกนำมารายงานข่าว
ประธานาธิบดีนายิบ บูเคเล ของเอลซัลวาดอร์ ได้หยิบข่าวของสำนักข่าวนิวยอร์กโพสต์ ที่พาดหัวว่า “ศาลรัฐบาลกลางสั่งให้เที่ยวบินขนส่งแก๊งเวเนซุเอลากลับสหรัฐฯ” มาโพสต์เสียดสีบนโซเซียลมีเดีย
“อุ๊ย… สายไปแล้วจ๊ะ” ประธานาธิบดีบูเคเล ระบุบน X ส่วนตัว พร้อมใส่ภาพอีโมจิที่เป็นหน้าหัวเราะน้ำตาไหลในโพสต์ดังกล่าวด้วย
ความกังวลเกิด ‘วิกฤตรัฐธรรมนูญ’ เริ่มปรากฏ
สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นประเด็นถกเถียงขึ้นมาเป็นวงกว้างในสังคมอเมริกันเพราะนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่จนถึงขั้นมีหลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลกำลังท้าทายอำนาจศาลและทำลายกลไกลการถ่วงดุลอำนาจตามรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง
ลามไปจนมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังทำให้เกิด ‘วิกฤตรัฐธรรมนูญ’ ซึ่งถูกใช้เรียกสถานการณ์ที่ 3 สถาบันหลักตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯที่ประกอบด้วยรัฐสภาฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลากรมีความขัดแย้งกันขึ้นมา
โดยในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดให้ ทั้ง 3 สถาบันมีอำนาจเท่าเทียมกัน และทำหน้าที่ในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน ดังนั้น หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นไม่ว่าจะระหว่างสถาบันใดใน 3 สถาบันนี้ทำให้การตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจไม่สามารถดำเนินไปได้แบบที่ควรจะเป็นอย่างเช่นในสถานการณ์ล่าสุดนี้ถูกมองว่าฝ่ายบริหารไม่ยอมรับคำตัดสินของฝ่ายตุลาการการตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจจึงไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในเวลานี้ยังอยู่ในช่วงก้ำกึ่งและยังคงมีผู้เชี่ยวชาญมองว่าตอนนี้อาจจะเร็วไปที่จะระบุว่าเป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญ
เอลี โฮนิก นักวิเคราะห์กฎหมายอาวุโสของ CNN อธิบายเรื่องนี้ในรายการ CNN Max เมื่อวันจันทร์ (17 มี.ค.) ให้เหตุผลว่า “ผมคิดว่า จะเรียกว่าวิกฤตจริงๆ ได้ ก็คือ เมื่อมีการฝ่าฝืนคำสั่งศาลอย่างเปิดเผย แต่กรณีนี้ ผมยังไม่แน่ใจว่าเราจะบอกว่าเป็นวิกฤตรัฐธรรมนูญแบบที่หลายคนพูดกัน แต่ถ้าเมื่อไหร่มีการฝ่าฝืนอย่างเปิดเผย เราก็จะถึงจุดนั้นทันที”
ถ้ารัฐบาลไม่เห็นด้วยกับศาลจะทำอย่างไร
แต่ถึงจะเป็นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ก็ไม่ใช่ว่าสถาบันหลักทั้ง 3 ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีความเห็นไปในทางเดียวกันขัดแย้งกันไม่ได้เลยสักเรื่อง
อย่างสถานการณ์ล่าสุดนี้เอลิซาเบธโกอิเตนนักวิชาการอาวุโสด้านเสรีภาพและความมั่นคงของชาติอธิบายว่ายังมีทางออก
“วิธีแก้ไขของประธานาธิบดีคือยื่นอุทธรณ์ โดยประธานาธิบดีอาจจะเป็นการยื่นอุทธรณ์ฉุกเฉินต่อศาลอุทธรณ์ แล้วปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ โดยไม่ฝ่าฝืนคำสั่งศาล” โกอิเตนระบุ ก่อนเสริมว่า “นี่คือความหมายของการตรวจสอบและถ่วงดุล ไม่ได้หมายความว่าประธานาธิบดีจะไม่สามารถมีความเห็นอะไรขัดแย้งกับศาลได้เลย” นักวิชาการท่านนี้ระบุ