โดนัลด์ ทรัมป์ พาสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน เมื่อปี 2018 ในตอนที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรกแล้วหันมาใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจสูงสุดเพื่อกดดันให้อิหร่านยุติโครงการพัฒนานิวเคลียร์
หลังผ่านมากว่า 5 ปีจนถึงวันนี้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลตามที่ประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งใจซ้ำร้ายกว่านั้นโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านกลับดูจะมีความก้าวหน้ามากขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา
โดยมีข้อมูลข่าวกรองยืนยันชัดเจนว่า ตอนนี้อิหร่านสามารถเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมได้จนถึงระดับใกล้เคียงกับการผลิตอาวุธแล้ว และสร้างวัสดุฟิสไซส์สำหรับผลิตระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาได้ภายในเวลาเพียง 12 วัน เร็วกว่าที่สหรัฐฯ เคยประเมินเมื่อปี 2018 ว่า อิหร่านอาจต้องใช้เวลามาถึง 1 ปีในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ 1 ลูก
การที่โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านมีความก้าวหน้าเร็วขึ้นขนาดนี้ ทำให้ชาติตะวันตกต่างกังวลกันว่า อิหร่านกำลังจะกลายมาเป็นภัยคุกคามที่อันตรายที่สุด
นิวเคลียร์อิหร่านน่ากลัวแค่ไหน
แม้ที่ผ่านมาอิหร่านจะยืนยันมาตลอดว่าโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นไปโดยสันติเพื่อวัตถุประสงค์ด้านพลังงานและกิจการพลเรือนไม่ได้มีเป้าหมายในด้านการทหารแต่อย่างใด
แต่เรื่องที่ถูกจับตาคือการดำเนินการของโครงการพัฒนานิวเคลียร์ที่ดูเหมือนว่าจะไปไกลเกินกว่าการพัฒนานิวเคลียร์เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการพลังงานตามที่อิหร่านกล่าวอ้าง
เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่า อิหร่านพยายามเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมที่มีอยู่ จนตอนนี้แตะที่ระดับ 60% ไปแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ของแร่ยูเรเนียมในระดับนี้ถูกมองว่าเกินความจำเป็นที่จะนำมาใช้ในด้านพลังงาน
จึงมีความเป็นไปได้ที่อิหร่านอาจจะต้องการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ให้มีความบริสุทธิ์ถึง 90% เพื่อนำมาใช้ในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ยังคงเชื่อว่า อิหร่านยังไม่มีความพร้อมถึงขั้นจะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ด้วยตัวเองในเร็วๆ นี้ แต่อาจจะกำลังพยายามเตรียมความพร้อมที่จะทำในอนาคต และเมื่อดูจากความสามารถในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมได้เร็วขนาดนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่วันหนึ่งอิหร่านจะสามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมาได้
จุดแตกหักของ JCPOA ต้นเหตุสถานการณ์บานปลาย
ถ้าให้พูดกันจริงๆ ภัยคุกคามจากอิหร่านที่เพิ่มขึ้นในเวลานี้ สาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจพาสหรัฐฯ ถอนตัวจาก ข้อตกลงนิวเคลียร์ ที่รู้จักกันในชื่อ ‘แผนปฏิบัติการร่วมที่ครอบคลุม’ (Joint Comprehensive Plan of Action) หรือ JCPOA เมื่อปี 2018 แล้วกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรรุนแรงต่ออิหร่าน
นับตั้งแต่นั้นมา ข้อตกลง JCPOA ซึ่งกำหนดให้อิหร่านจำกัดการเสริมสมรรถนะของแร่ยูเรเนียมเพื่อแลกกับการยกเลิกคว่ำบาตรทั่วโลกก็กลายเป็นแค่แผ่นกระดาษทันที
เพราะเมื่อสหรัฐฯ กลับมาคว่ำบาตร อิหร่านก็ตอบโต้ด้วยการฝ่าฝืนข้อตกลง หันกลับมาเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมและกักตุนจนเกินขีดจำกัดที่กำหนดไว้
แม้รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่เข้ามารับช่วงต่อจากรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ จะพยายามเจรจาเพื่อให้อิหร่านกลับมาทำตามข้อตกลง JCPOA ด้วยการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านแต่ก็ไม่เป็นผลอิหร่านยังคงเดินหน้าเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมเข้าใกล้ระดับอันตรายมากขึ้นทุกทีในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ในการกลับมารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไปกลับมาคราวนี้เขาแสดงเจตจำนงว่าต้องการที่จะเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านอีกครั้ง
แต่อิหร่านปฏิเสธว่าไม่ได้อยากเจรจาใดๆอีกทั้งยังโบ้ยไปที่ประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยว่าเป็นคนถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ไปเองแล้วจะมารื้อฟื้นอะไรตอนนี้
มหาอำนาจร่วมวง หาทางดึงอิหร่านกลับสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์
ภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์จากอิหร่านทำให้หลายชาติมีความกังวลไม่ใช่แค่อดีตประธานาธิบดีไบเดนที่พยายามจะดึงอิหร่านกลับเข้าสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ชาติมหาอำนาจในยุโรปนำโดยอังกฤษฝรั่งเศสและเยอรมนีก็พยายามเจรจากับอิหร่านในเรื่องนี้เช่นเดียวกันแต่ยังไม่มีความคืบหน้าออกมาเป็นรูปธรรม
การเจรจาครั้งล่าสุดระหว่างยุโรปกับอิหร่านเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ก็ต้องล่มลงอย่างไม่เป็นท่า เนื่องจากทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งกันในเรื่องที่ยุโรปกล่าวหาว่า อิหร่านไม่ให้ความร่วมมือกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA และไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ต่อ IAEA อย่างโปร่งใส ทำให้การเจรจาต้องหยุดชะงักไป
ดังนั้น อาจบอกได้ว่า ความท้าทายใหญ่ในเวลานี้กำลังตกอยู่ที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ต้องทำให้อิหร่านกลับเข้าสู่เงื่อนไขตามข้อตกลง JCPOA เพื่อจำกัดการเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนี่ยมของอิหร่านไว้ให้ได้
โอกาสเจรจาสำเร็จมีมากน้อยแค่ไหน
คำถามสำคัญคือประธานาธิบดีทรัมป์มีโอกาสที่จะเจรจากับอิหร่านสำเร็จมากน้อยขนาดไหนหากดูจากสถานการณ์ตอนนี้และท่าทีที่อิหร่านแสดงออกมาคงต้องบอกว่ายังคงไร้ความหวัง
ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์กับอิหร่านเป็นคู่ปรับคู่แค้นกันมาตลอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีส่วนสำคัญในการกดปุ่มสังหารพลตรีคาเซ็มสุเลมานีผู้บัญชาการทหารระดับสูงของอิหร่านเหตุการณ์นี้ทำให้อิหร่านโกรธมาก
การเจรจาระหว่างอิหร่านกับทรัมป์จึงถูกมองว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมคุยกันอย่างสันติ
เรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนจากการตอบโต้ของอยาตอลเลาะห์อาลีคาเมเนอีผู้นำสูงสุดของอิหร่านที่ออกมาประณามสหรัฐฯว่าเป็นพวกอันธพาลที่ตั้งใจจะมาหาเรื่องอิหร่านโดยใช้เงื่อนไขที่รู้อยู่แล้วว่ายังไงอิหร่านก็จะไม่ทำตามมาต่อรอง
ผู้นำสูงอิหร่านยังบอกด้วยว่า สหรัฐฯ เป็นคนถอนตัวออกจากข้อตกลง JCPOA เอง ก็ต้องรับผิดชอบเองหากว่าอยากได้ข้อตกลงนี้กลับมา
ขณะที่ ประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ประกาศชัดเจนเช่นกันว่า อิหร่านจะไม่เจรจากับสหรัฐฯ ต่อให้ถูกขู่ว่าจะใช้กำลังทางทหารมาบีบ อิหร่านก็ไม่กลัว “เอาเลย ทำเรื่องน่ารังเกียจแบบที่คุณอยากทำได้เลย”
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นตอนนี้อาจจะยังเร็วไปที่จะฟันธงว่าอิหร่านจะปิดประตูการเจรจาทุกช่องทางเพียงแต่สหรัฐฯจะใช้วิธีการไหนดึงให้อิหร่านยอมกลับมานั่งในโต๊ะเจรจาอีกครั้ง
จับตา ‘ทรัมป์’ ทำอย่างไรต่อ
สิ่งที่จะต้องจับตาต่อไปก็คือท่าที่ของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเขาจะดำเนินการอย่างไรกับอิหร่านต่อไปเรื่องนี้มีหลายมุมมองจากนักวิเคราะห์หลายคนหนึ่งในมุมมองที่น่าสนใจคือการเจรจาอาจจะเกิดขึ้นได้ถ้าสหรัฐฯเดินเกมถูก
เพราะถึงแม้ว่าอิหร่านจะมีความแข็งกร้าวมากขึ้น แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อตอนที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลง JCPOA ในรัฐบาลทรัมป์สมัยแรกเพราะอิหร่านเองก็กำลังมีปัญหาภายในโดยเฉพาะเรื่องอัตราเงินเฟ้อสูงและปัญหาเติบโตทางเศรษฐกิจที่ซบเซาเลยทำให้นักวิเคราะห์มองว่าอิหร่านอาจจะไม่ต้องการให้ตัวเองถูกคว่ำบาตรซ้ำเติมมากไปกว่าเดิมดังนั้นจึงมีโอกาสที่อิหร่านอาจจะตัดสินใจยอมเจรจาเพื่อผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯเพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ เฟรดดี้ คูเอรี นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระดับโลกของ สถาบัน Rane Risk Intelligence เตือนว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องใช้ความระมัดระวังหากจะหยิบเรื่องการคว่ำบาตรมาต่อรองกับอิหร่าน เพราะถ้าอิหร่านไม่รับเงื่อนไข และยอมถูกคว่ำบาตรมากขึ้น อาจเป็นการกดดันให้กลุ่มหัวรุนแรงในอิหร่านลุกขึ้นมาต่อต้าน”
ยิ่งไปกว่านั้น คูเอรี บอกเลยว่า “การกดดันมากๆ มีโอกาสที่จะทำให้อิหร่านยกระดับยุทธศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ของตัวเอง เพราะพวกเขามองว่า นิวเคลียร์คือสิ่งเดียวที่จะสามารถยับยั้งอิสราเอลกับสหรัฐฯ ได้ โดยเฉพาะในเวลาที่วิธีการทางการทูตใช้ไม่ได้ผล”
แต่นอกจากมุมมองที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะดีนัก มีนักวิเคราะห์ที่ยังมองโลกในแง่ดี เห็นช่องทางที่อาจจะเกิดเจรจาอย่างสันติขึ้นได้ หากรัสเซีย ซึ่งมีความใกล้ชิดกับทั้งอิหร่านและสหรัฐฯ ลงมาเป็นกาวใจช่วยเจรจาระหว่างทั้งสองฝ่าย