สงครามการค้าพุ่งตรงมาที่ชาติอาเซียน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เล่นงาน จีน เม็กซิโก แคนาดา ไปเรียบร้อย ล่าสุด เขาประกาศชัดเจนว่า จะเริ่มมาตรการภาษีตอบโต้กับประเทศต่างๆ ที่เอาเปรียบสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เม.ย. ที่จะถึงนี้
คำประกาศนี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาเตือนว่า ภูมิภาคอาเซียนจะเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ มากที่สุด เนื่องจากหลายประเทศในกลุ่มนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อนของการค้าโลก
โดยในบรรดาชาติอาเซียน ประเทศที่น่าห่วงที่สุด คือ เวียดนามและไทย ซึ่งมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับต้นๆ สองประเทศนี้ถูกมองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่กำลังถูกเพ่งเล็งให้เป็นเป้าหมายต่อไปที่จะถูกรัฐบาลสหรัฐฯ รีดภาษี และสุดท้ายผลกระทบจะเกิดขึ้นกับทุกประเทศในภูมิภาคนี้
อาเซียนจะรับมือกับสงครามภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ได้อย่างไร มีทางออกไหนบ้างที่เราจะสามารถลดผลกระทบได้น้อยที่สุด เราพาไปหาคำตอบพร้อมกันในโพสต์นี้
ทางเดียวที่จะอยู่รอด คือทุกชาติต้องร่วมมือกัน
แม้เวียดนามกับไทย จะถูกมองว่าเป็น 2 ชาติที่กำลังถูกเพ่งเล็ง เพราะมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่าสูงมาก โดยเวียดนามเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ และไทยมียอดเกินดุลสหรัฐฯ อยู่กว่า 35,000 ล้าน
แต่ ไบรอัน พี.ไคลน์ นักวิเคราะห์ด้านเศรษศาสตร์และอดีตนักการทูตชาวอเมริกัน ให้ความเห็นถึงผลกระทบที่คาดว่า จะเกิดกับชาติอาเซียน ไว้น่าสนใจว่า ไม่ใช่แค่ไทยกับเวียดนามที่จะเจอผลกระทบจากสงครามภาษี ทุกประเทศอาเซียนก็จะได้รับผลกระทบไปพร้อมๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่สิงคโปร์ ซึ่งขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญกับผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศ
ดังนั้น หากจะบรรเทาผลกระทบให้เกิดกับภูมิภาคน้อยที่สุด ทุกประเทศต้องรวมกันให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อช่วยกันขัดขวางนโยบายกีดกันการค้าประธานาธิบดีทรัมป์
ไคลน์อธิบายว่า จุดแข็งที่อาเซียนมีอยู่ ก็คือจำนวนประชากรที่มากกว่า 650 ล้านคนทั้งภูมิภาค แต่ความท้าทายก็คือ เราจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่ว่านี้ได้อย่างไร เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เสริมความแข็งแกร่งกับพันธมิตรนอกภูมิภาค
นอกจากความร่วมมือกันภายในภูมิภาคแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจคือการประสานงานกับพันธมิตรภายนอกภูมิภาค เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการรับมือกับสงครามการค้าของสหรัฐฯ
โดยในมุมมองของไคลน์ เขาระบุว่า หนึ่งในประเทศน่าสนใจที่อาเซียนควรมองเป็นหุ้นส่วนคือ อินเดีย เนื่องจากตอนนี้ อินเดียประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และถูกมองว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเอเชียในเวลาอันใกล้นี้
ดังนั้น ในขณะที่จีนกำลังเผชิญกับสงครามภาษีอันหนักหน่วงกับสหรัฐฯ อินเดียอาจเป็นประเทศเดียวในเอเชียที่จะช่วยพยุงภูมิภาคให้รอดพ้นจากผลกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ได้
จับตาประชุมอาเซียนเดือน พ.ค.
สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ คือการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่จะมีขึ้นในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย เดือน พ.ค. นี้ ซึ่งมีการเปิดเผยมาว่า นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ได้เชิญพันธมิตรนอกภูมิภาคมาร่วมประชุม รวมถึงจีน และประเทศอ่าวอาหรับ
ไม่แน่ว่า ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้ อาจจะได้เห็นความร่วมมือใหม่เพื่อต้านทานภัยคุกคามจากสงครามการค้า แม้นายกรัฐมนตรีอันวาร์จะยืนยันว่า ที่เชิญพันธมิตรนอกภูมิภาคอย่าง จีน และประเทศอ่าวอาหรับมาร่วมประชุม ไม่ใช่เพื่อแสดงการเลือกข้าง เพียงแต่ต้องการให้แน่ใจว่าอาเซียนยังมีที่ยืนในเชิงยุทธ์ศาสตร์บนโลกที่ถูกแบ่งเป็นขั้วๆ ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม แม้วิธีการนี้ของนายกรัฐมนตรีอันวาร์จะถูกมองว่าเป็นอีกแนวทางที่อาจช่วยคานอำนาจของสหรัฐฯ แต่ แซม บารอน นักวิชาการด้านเอเชียแปซิฟิกจากสถาบันโยโกสุกะในญี่ปุ่น เตือนว่า “ทั้งชาติอาเซียน ประเทศอ่าวอาหรับ และจีน ต่างก็มีข้อพิพาท เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่มหาศาล และทรัมป์ก็ไม่ใช่คนที่ลังเลจะใช้นโยบายการค้าเป็นเครื่องมือ ดังนั้น การดำเนินการใดๆ จึงต้องใช้ความระมัดระวังและรอบคอบ”