ถอดแนวคิด Minor ปั้นสเต๊กแบรนด์น้องใหม่ The Steak and More

“การทำธุรกิจ เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่ เปิดตลาดใหม่ ไม่จำเป็นต้องเปิดธุรกิจในหมวดใหม่ๆ ตลอดเวลาก็ได้” นี่คือแนวคิดในการเปิดแบรนด์ร้านอาหารน้องใหม่อย่าง ‘The Steak and More’ ซึ่งเป็นแบรนด์สเต๊กน้องเล็กของ Sizzler 

โดย Minor ตั้งใจเจาะลูกค้ากลุ่มตลาดแมสในราคาเข้าถึงได้ วางตำแหน่งแบรนด์ให้แตกต่างกับ Sizzler ที่เน้นตลาดแมสพรีเมี่ยม และตั้งเป้าให้ ‘The Steak and More’ เข้ามาเสริมแกร่งในพอร์ตของ Minor  โดยประเดิมสาขาแรกที่เซ็นทรัล เวสต์เกต 

TODAY Bizview ได้พูดคุยกับ ‘อนุพนธ์ นิธิยานันท์’ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าให้ฟังถึงที่มาการสร้างแบรนด์ ‘The Steak and More’ ว่า  ด้วยแนวคิดที่ว่าการเปิดธุรกิจใหม่ ไม่จำเป็นต้องเปิดธุรกิจในหมวดใหม่ๆ ตลอดเวลาก็ได้ เครือ Minor มีแบรนด์สเต๊กอย่าง Sizzler อยู่แล้ว และทำตลาดในไทยมาตลอด 30 ปี มีกลยุทธ์เป็นของตัวเองในการสร้างภาพลักษ์ให้ดูดี ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์ม ออกเมนูใหม่ๆ จนแบรนด์อยู่ในกลุ่มตลาดแมสพรีเมี่ยม 

ปัจจุบันมูลค่าตลาดอาหารประเภทสเต๊กในประเทศไทยอยู่ที่ราว 9,000 ล้านบาท และในตลาดมีผู้เล่นมากมายทั้งที่ยังอยู่ และที่เปิดมาแล้วหายไปก็มี 

ถ้ามาดูในพอร์ตของ Minor เรามีแบรนด์อาหารจำนวนมาก ฉะนั้น ในด้านซัพพลายเชนถือว่าได้เปรียบเพราะมีทั้งวัตถุดิบ หมู ไก่ ซีฟู้ดที่มีคุณภาพ และสามารถขนส่งไปยังหลายพื้นที่ได้ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ รวมถึงองค์ความรู้ในระบบร้านอาหารทำให้สามารถขยายสาขาได้ไม่ยาก

[ ใช้แนวคิดสร้างแบรนด์ขยายฐานลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ]

‘อนุพนธ์’ เล่าต่อว่า ในแง่ธุรกิจแล้วเราไม่จำเป็นต้องเปิดแบรนด์หมวดใหม่ๆ ทำให้ในพอร์ตของ Minor มีแบรนด์สเต๊ก ‘ตลาดแมสพรีเมี่ยม’ คือ Sizzler ส่วน ‘ตลาดแมส’ คือ ‘The Steak and More’ เข้ามาเติมเต็ม

แนวคิดนี้คล้ายกับพอร์ตร้านไอศกรีมของ Minor ทั้ง 2 แบรนด์ คือ Swensen’s เจาะกลุ่มแบรนด์เลิฟ ผู้คนผูกพันกับแบรนด์ ขณะ Dairy Queen หาซื้อกินได้บ่อยในแบบไม่ต้องคิดเยอะ ทำให้สามารถครองตลาดไอศกรีมได้

“เมื่อมองมาที่ The Steak and More ด้วยกลุ่มลูกค้าที่จับตลาดแมส ราคาต้องเข้าถึงได้ แบรนด์ไม่ต้องออกเมนูบ่อยๆ มีโปรดักส์ไม่ต้องเยอะ แต่ต้องขายได้ตลอด จึงมีราคาเริ่มต้นที่ 129 บาท เพิ่มน้ำรีฟีลก็ 59 บาท ทำให้ราคา 200 บาทมีทอน ลูกค้าที่เข้ามาไม่ต้องคิดเยอะในการกิน เดินผ่านๆ ไม่รู้จะกินอะไรก็ตัดสินใจเข้าร้านได้ เหมาะกับทุกกลุ่ม ทุกวัย” ผู้บริหาร Minor ฉายภาพคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ให้ฟัง

เพื่อให้เห็นภาพชัดว่า The Steak and More จุดเด่นคืออะไร ‘อนุพนธ์’ อธิบายว่า เราสามารถสร้างความต่างด้วยคุณภาพ ทำสเต๊กออกมาในชิ้นใหญ่ๆ เต็มจาน ตั้งใจทำเมนูให้เป็นไทยโปรไฟล์ มีเครื่องเคียงให้เลือกเยอะ เช่น ส้มตำ ลาบ ยำวุ้นเส้น ปรับรสชาติให้ถูกปากและคุ้นชินกับคนไทย แต่ก็ไม่ลืมด้านเครื่องเคียงหมวดฝรั่งก็ยังมีแม็คแอนด์ชีส ขนมปังกระเทียมที่เหมือน Sizzler และเครื่องเคียงอื่นๆ มาพร้อมน้ำรีฟีลและไอศกรีมที่คนไทยชอบ

ขณะที่ The Steak and More มีความท้าทายของแบรนด์อยู่ที่การ ‘เสิร์ฟ’ ที่ต้องให้ไว ปิดโต๊ะ คลีนโต๊ะให้เร็ว เพราะด้วยราคามิตรภาพ และพื้นที่ของร้านอยู่ที่ประมาณ 150-200 ตารางเมตร ซึ่งไม่ใหญ่มาก ดังนั้นเมื่อเทียบกับราคาของ Sizzler จะเท่ากับราคาของ The Steak and More 2.5 จาน ทำให้ยอดขายก็ต้องขายได้เยอะๆ ที่สำคัญลูกค้าต้องรอคิวไม่นานด้วย 

โดยตั้งแต่เปิดร้านมา มีลูกค้าเฉลี่ยเข้าร้านราว 400-500 คน อินไซด์ของลูกค้าได้รับกระแสตอบรับดีในเรื่องเครื่องเคียง เช่น ผู้ใหญ่มาก็สั่ง ส้มตำ ลาบ ยำวุ้นเส้นที่ปรับรสชาติให้เข้าปากคนไทย ในกลุ่มเด็กๆ ก็เลือกสั่งแม็คแอนด์ชีส และบิลเฉลี่ยยังสูงถึง 500 บาทอีกด้วย

[ ตลาดสเต๊กอาจมีทุนจีนเข้ามาลงแข่ง ]

‘อนุพนธ์’ ยังเล่าให้ฟังอีกว่า การเปิดแบรนด์ The Steak and More มาในจังหวะที่เหมาะสม ไม่ได้มองว่า Minor เข้ามาเจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดแมสช้า แต่มองว่าเป็นการเข้ามาชิงตลาดก่อนคนอื่นด้วยซ้ำ เพราะหลังโควิดมาตลาดสเต๊กโตไวมาก ทุนจีนก็เริ่มเข้ามา ทำให้การแข่งขันดุเดือดมากขึ้น

[ ตั้งเป้า 70 สาขาใน 3 ปี ]

The Steak and More สาขา 2 จะเปิดที่ทรูดิจิทัลพาร์คภายในเดือน ก.พ. 68 นี้ ตั้งเป้าจะเปิดให้ได้ 70 สาขาภายใน 3 ปี โดยวางโลเคชั่นตั้งในห้างสรรพสินค้าเป็นหลักเพื่อให้ใกล้ตัวผู้บริโภค โดยงบลงทุนแต่ละสาขาจะอยู่ที่ราวๆ 6-10 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3 ปี