SHARE

คัดลอกแล้ว

AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นเทคโนโลยีด้านระบบการประมวลผลที่มีความสามารถในการจัดการข้อมูล เรียนรู้ชุดคำสั่งและนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการทำธุรกิจ และมีแนวโน้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มบริษัทชั้นนำทั่วโลก

จากการศึกษาของบริษัท McKinsey คาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2030 AI จะสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากถึง 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีโอกาสที่บริษัท 70% ทั่วโลกจะใช้ AI

ท่ามกลางข่าวที่ว่า AI จะเข้ามาแย่งอาชีพคน ทำให้คนจะตกงานมากขึ้น!?

TODAY ได้รับโอกาสสัมภาษณ์ บิ๊ก-ปริชญ์ รังสิมานนท์ ศิษย์เก่า MIT อดีตนักลงทุนกองทุนสำรองระหว่างประเทศของสิงคโปร์ (Goverment of Singapore Investment Corporation -GIC) ที่เคยเป็น Venture Capital อยู่ใน Silicon Valley และเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Looloo Technology บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน AI สัญชาติไทย เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2567

ปริชญ์ รังสิมานนท์

คุณบิ๊ก ได้กล่าวถึงเรื่อง AI กับการทำงานในปัจจุบันว่า ‘AI’ หลายส่วนอย่างไรก็ต้องมาแทนคน เพราะหากมองย้อนกลับไปที่การมาของ ‘อินเตอร์เน็ต’ ก็ได้ทำให้สื่อสิ่งพิมพ์หายไปหมดเลย ขณะนี้ในสหรัฐอเมริกาก็จ้างงานฟรีแลนซ์น้อยลงเยอะมาก เริ่มเห็นแล้วว่าบางงานจะใช้คนน้อยลงจริง

‘คนรุ่นใหม่’ ได้รับผลกระทบจาก AI น้อยกว่า Gen อื่น และคนที่ไม่ปรับตัว

ภาพประกอบ : elements.envato.com

เมื่อเราถามถึงคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงานใช่กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากการมาของ AI มากที่สุดหรือไม่

คุณบิ๊ก ตอบเราว่า ไม่จริง คนรุ่นใหม่น่าจะกระทบน้อยกว่าคน Gen อื่น เพราะโลกเปิดกว้างให้คนรุ่นใหม่ เขาโตมากับโทรศัพท์มือถือ โตมากับเทคโนโลยี คนที่อายุ 40-50 ขึ้นไป ถ้ายังใช้ AI ไม่เป็นจะลำบากถ้าไม่รีบเปลี่ยน แต่คนรุ่นใหม่ที่จะมีปัญหามาก ก็คือถ้าไม่รับสิ่งเหล่านี้เข้ามาใช้กับตัวเอง เพราะว่าหลายอุตสาหกรรมจะหายไป เช่น Call Center, พนักงานแอดมินตอบแชต,  Telesales (พนักงานขายผ่านทางโทรศัพท์), ฟรีแลนซ์กราฟิกดีไซน์เนอร์ ถ้าคนอายุ 30 กว่ายังย้ายไปทำงานอย่างอื่นได้ แต่ถ้าอายุ 40 ปีแล้วและทำงานนี้มาตลอด 20 ปี จะย้ายไปทำงานอื่นอะไร

สำหรับคนรุ่นใหม่ ต้องมี 5 อย่างที่จะทำให้อยู่รอดในสังคมอนาคต

1. ต้องเป็นคนที่อยากเรียนรู้ เพราะว่า ณ วันนี้ AI เป็นหลักในการทำงาน แต่ต่อไปคนทำ AI อาจล้นตลาด เทคโนโลยีทางชีวภาพหรือไบโอเทค (Biotech) อาจจะมาก็ได้ ดังนั้นสกิลที่เรียนวันนี้ อีก 5 ปีอาจจะไม่ได้ใช้อีกต่อไป จึงต้องเรียนรู้สกิลต่างๆ อยู่เรื่อยๆ

2. ต้องเก่งภาษาอังกฤษ ตอนนี้ Gen AI มาแล้ว แต่ถ้าคุณยังยึดอยู่กับภาษาไทย จะทำให้คุณอยู่ใน disadvantages หรือข้อเสียเปรียบอย่างมหาศาล เพราะว่า หากใช้ภาษาอังกฤษกับเครื่องมือต่างๆ และหาความรู้ที่มีในอินเตอร์เน็ตจะง่ายกว่าภาษาไทยมาก แล้วความรู้ต่างๆ มีเยอะแยะมากให้เรียนรู้ ความรู้ใหม่ๆ หาได้ง่ายมากใน Youtube แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นต้องฝึกภาษาอังกฤษให้คล่อง

3. ต้องอ่านเยอะๆ เพราะ Gen AI จะทำให้หาข้อมูลได้ทุกอย่างโดยไม่ต้องอ่าน หนังสือทั้งเล่มสามารถหาบทสรุปได้เลยจาก ChatGPT, Claude หรือ Gemini แต่ความจริงถ้าคุณไม่อ่าน จะเขียนไม่เป็น เพราะไม่รู้ว่าการเขียนที่ดีคืออะไร เรียบเรียงความคิดไม่ออก สื่อสารไม่เป็น ชีวิตนี้สำคัญมากคือ จะทำงานอะไรก็ตามต้องเรียบเรียงให้เป็นและสื่อสารความคิดให้เป็น

4. มีตรรกะในการใช้ข้อมูล คือถ้าสมัยก่อนเวลาเราค้นหาข้อมูล ใน Google จะปรากฏข้อมูล 10-20 หน้าเพื่อให้เราหาข้อมูลหลายแบบ แต่ตอนนี้ถ้าเราค้นหาข้อมูล ChatGPT มันจะตอบอย่างเดียว และอาจมี Halucination ดังนั้นคุณต้องตัดสินใจให้ได้ว่า ข้อมูลที่จะนำมาใช้นั้นมาจากไหน และตัดสินใจให้ได้ว่าข้อมูลนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม เข้าใจถึงที่มาของข้อมูลนั้นๆ ในการตัดสินใจ

5. ต้องมี Empathy คือ ความเข้าใจผู้อื่น เพราะว่าต่อจากนี้โลกจะเริ่มเป็นข้อมูลทางลัดทางเดียว เพราะเรารับข้อมูลจากฝั่งเดียว ถ้าเราไม่มีความเข้าใจคนอื่นจะไม่เข้าใจบริบท โลกจะอยู่ยากมาก ChatGPT ขึ้นอะไรมาคราวนี้คุณจะเอนเอียงหมดเลย ถ้าคุณไม่ฝึกเข้าใจคนอื่นและหัดที่จะอยากช่วยเหลือคนอื่น เพราะวันๆ เราจะอยู่แต่หน้าจอคุยกับ ChatGPT ซึ่งสิ่งที่ AI แทนไม่ได้ ก็คือ Human Connection, Human Touch ซึ่งจะเกิดจากการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเข้าใจคนอื่น

ไม่ได้ทำให้เก่งแต่ทำให้แคบ สังคมยุค AI จะมี Empathy ต้องหัดใช้ชีวิตกับคนอื่น

คุณบิ๊ก บอกว่า “สังคมที่ดีเริ่มจากครอบครัว พ่อแม่ต้องอยู่กับลูกให้มากขึ้น ปัญหาสังคมเราไม่อยากให้ลูกเล่นมือถือ แล้วถ้าไม่อยู่หน้าจอแล้วจะให้ทำอะไร เพราะฉะนั้นคุณ (พ่อแม่) ต้องเป็นเพื่อนเขาตั้งแต่แรก ให้คนอื่น หรือ AI เลี้ยงลูกแทนไม่ได้”

ส่วนสังคมทั่วไปนั้น คุณบิ๊ก มีมุมมองว่า เราก็ต้องหัดใช้ชีวิตกับสังคมมากขึ้น ทำงานกับคนอื่นให้เป็น คือเด็กสมัยใหม่ต้องเป็นเด็กกิจกรรม การเรียนสำคัญ แต่โลกอนาคตที่สำคัญมากขึ้นก็คือคุณต้องทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย เพื่อให้คุณเข้าใจ Connection เพราะถ้าคุณไม่ทำโลกของคุณจะแคบขึ้น และ AI มันไม่ได้ทำให้คุณเก่งขึ้น เพราะทุกคนก็เก่งขึ้นเท่ากันหมด แต่มันจะทำให้คุณแคบ พอคุณแคบคุณจะไม่รู้สังคมรอบด้าน คุณจะทำงานได้ไม่ดีเท่ากับคนที่รู้กว้าง Gen AI จะทำให้ความรู้กว้างนั้นเป็นรู้ลึก ทำให้คุณชนะคนอื่นได้ ดังนั้นกิจกรรมในมหาวิทยาลัยจึงสำคัญมากๆ

“หลายคนบอกว่าดีกรีมหาวิทยาลัยสำคัญไหม ผมว่า hard skill ไปเรียนเอาเองได้ แต่การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น นอกรั้วมหาวิทยาลัย AI สอนไม่ได้ การที่ไปเรียนในมหาวิทยาลัยเด็กหลายๆ คนบอกว่าไม่จำเป็นแล้ว จริงๆ สำหรับผมมองว่ายังจำเป็นอยู่ คุณจะอยู่แค่สังคมคุณคนเดียว ทำงานอย่างเดียวไม่ได้”

AI ไม่ได้ทำให้คนใจดำขึ้น แต่คนจะโลกแคบมากขึ้น

ภาพประกอบ : elements.envato.com

เพราะอยู่กับตัวเองแล้วคิดว่าตัวเองถูกที่สุด คุยกันน้อยลงหาข้อมูลได้มากขึ้น แล้วอย่างที่บอกข้อมูลมัน bias (อคติ) ต่อไปนี้เราฟังคนๆ เดียว แทนที่จะมานั่งถกกัน หลายอย่างเราจะพึ่ง ChatGPT คนจะคิดน้อยลงตรรกะจะน้อยลง ซึ่งตรงนี้จะเริ่มทำให้คนเป็นแบบคนเราชอบคิดอะไรง่ายๆ แล้วคนที่มีตรรกะเยอะ คิดให้มาก ถามให้ถูกจะชนะ

“AI มันทำให้คนเท่าเทียมกัน ทุกคนเข้าถึง information ได้ง่ายเหมือนกันสุดท้ายคนจะเท่าเทียมกัน พูดถึงจะใจดำไหมมันไม่ใจดำแต่ว่ามันจะเท่าเทียมกัน คนที่จะต่างจากคนอื่น การที่จะทำให้คนโดดเด่นขึ้นมา คือการมีความคิดสร้างสรรค์ (creativity) จะต้องเริ่มมา หากใช้ Gen AI มาสร้างรูป อีกหน่อยรูปก็จะออกมาแบบเดิมๆ เพราะว่าอะไร เพราะมัน train มาจากข้อมูลเดิมๆ และทุกคนเข้าถึงเหมือนๆ กัน ดังนั้นต้องเจอสังคมไปคุยกับคนอื่นมากๆ เพื่อให้เกิด creativity ของตัวเอง คุณต้องไม่รู้ด้านเดียว ผมว่า AI เป็นช่วงที่คุณต้องรู้รอบด้าน เพื่อให้มี creativity เพิ่มขึ้น เพื่อให้คุณต่างจากคนที่ใช้ AI เหมือนกัน”

คุณบิ๊ก เน้นย้ำว่า การจะค้นพบ Consumer needs ของตัวเอง ไม่ได้มาจากการขี้เกียจ แล้วใช้ ChatGPT อย่างเดียว แต่มาจากการที่คุณสั่งสมประสบการณ์หลายๆ ด้าน เพื่อต้องหาจุดต่างของตัวเองในสังคมที่มันเท่ากัน วันนี้ถ้าคุณไม่ใช้ AI คุณตายแน่นอน แต่ถ้าการใช้ AI ทำให้คุณเท่าคนอื่นทุกคนเป๊ะ สุดท้ายคุณต้องเริ่มหา needs ของตัวเองคือต้องมี creativity นั่นเอง

“AI ไม่ได้ฆ่า creativity แต่คนที่มี creativity จะฆ่าคนที่ใช้ AI อย่างเดียว”

คุณบิ๊ก ยังฝากย้ำกับเด็กรุ่นใหม่ว่า สิ่งที่จะทำให้ก้าวไปในอนาคตได้ คือต้องมีความแตกต่างของตัวเอง มี creativity ซึ่งวิธีเดียวที่จะมีได้คือ “อ่านให้มาก เจอคนให้เยอะ และทำกิจกรรมให้เยอะ”

และอย่าเพิ่งมี Work Life Balance ยกเว้นถ้าคุณมีเพียงพอ ที่ชีวิตนี้ไม่ได้ต้องการเงินแล้ว เพราะถ้าสมมุติวันนี้พ่อแม่ป่วยขึ้นมาก็คือต้องให้เงินเลี้ยงดูพ่อแม่ มีเงินพอรักษาพ่อแม่ไหม คนทั่วไปอาจคิดถึงแค่ตัวเองในปัจจุบันโดยยังไม่คำนึงถึงอนาคตหรือบริบทรอบด้าน มันยังไม่ใช่ช่วงอายุที่จะพัก อย่างผมอายุ 40 กว่าตอนนี้ มันหมดแรงที่จะไปต่อสู้เหมือนตอนอายุ 20 กว่าๆ แล้ว แล้วการเอาช่วงที่ Productive ที่สุดไปกับการทำ Work Life Balance แล้ววันหนึ่งจะเสียใจ รวมถึงอย่าเสียเวลาอยู่กับดราม่ามาก อยากให้คนรุ่นใหม่ฝันให้ไกลและมุ่งมั่นไปให้ถึง

บทบาทของภาครัฐที่จะช่วยคนในสังคมยุค AI 

ภาพประกอบ : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

คณบิ๊ก กล่าวว่า ภาครัฐจะต้องผลักดันให้คนรู้ว่า AI คืออะไร และผลักให้ใช้อย่างเป็นรูปธรรม ภาครัฐจะทำอะไรก็ได้แต่ขอให้ทำจริงอย่าพูดอย่างเดียว AI สำคัญต่อประเทศก็อยากเห็นนโยบายรัฐที่ชัดเจนว่า จะทำอย่างไรกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องเรียนรู้เรื่อง AI แล้วคนรุ่นเก่าที่เข้าไม่ถึง AI และใช้ AI ไม่เป็นจะทำอย่างไร เพราะหลายอุตสาหกรรมจะต้องหายไป และจะเตรียมพร้อมสำหรับคนที่ตกงานจากตรงนี้อย่างไร ชัดเจนว่าต้อง reskill ย้ายงานให้คนที่จะต้องตกงานพวกเขาจะต้องไปทำอะไร และวางแผน 10 ปี รัฐบาลต้องคิดแล้วว่าต้องการให้ประเทศไปทางไหน

“ตอนนี้เศรษฐกิจ BCG มันหายไปไหนถูกไหม หากรัฐบาลใหม่มาซอฟต์พาวเวอร์ไทยจะหายหรือเปล่า สำหรับรัฐบาลขออย่างเดียวเลย ทำอะไรก็ได้แต่ขอให้มี Long-term plan และ Execution Plan ที่ยั่งยืนและยาวนาน ไม่ใช่ทำอะไรสั้นๆ และเปลี่ยนในทุกๆ รัฐบาล รัฐบาลเปลี่ยน แต่ขอให้ยังยึดมั่นกับแผน ที่ประเทศจะเดินไปอย่างมั่นคง”

คุณบิ๊ก ฝากทิ้งท้ายถึงคนที่เป็นกังวลมากไปจนถึงน้อยหรืออาจไม่ได้กังวลเลยกับยุคของ AI ว่า ต้องใช้ AI และใช้อย่างถูกวิธี เพื่อยกศักยภาพของตัวเองเพิ่มขึ้น แต่อย่าไปกลัวจนเกินไปจนกระทั่งว่ามันจะมาแย่งงานเรา เพราะว่าการกลัวไม่ได้ทำให้ดีขึ้น มันถึงช่วงที่ถึงเวลาให้ต้องเรียนรู้ให้มากๆ

ถ้าถามว่าเป็น hype ไหม AI มัน hype แน่นอนและจะมีบริษัทที่เจ๊งกันระนาว จึงอยากให้ทุกคนกลับมาที่พื้นฐานว่าทุกครั้งที่เกิดการ hype ทางเทคโนโลยี อย่างตอน Dot-com bubble ที่เกิดขึ้นเพราะหลากหลายบริษัทสร้างสิ่งของที่คนไม่ได้อยากใช้ แต่เห่อกระแสขึ้นมา แล้วสุดท้ายก็ต้องปิดตัวไป ในแง่ธุรกิจในอนาคต เราต้องเข้าใจว่า needs และ behavior ของลูกค้าเราจริงๆ คืออะไร แล้วต้องสร้างธุรกิจมาให้ตอบโจทย์นั้น AI ที่ไม่ตอบโจทย์ ที่เวอร์วังอลังการตามกระแส ถึงเวลาไม่มีคนใช้มันก็เจ๊งไป เพราะอะไรที่ไม่ตอบสนอง Consumer needs ก็ตายไป คนที่อยู่รอด คือคนที่เข้าใจ Consumer จริงๆ และจะใหญ่ขึ้น

“ผมมองว่า AI เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องมี แต่จะเกิด bubble ไหมนั้นเกิดแน่นอน แต่หลังจากเกิดแล้ว ทุกคนจะกลับมาที่พื้นฐานมาใช้ AI ที่ช่วยอะไรเขาจริงๆ เหมือนกับยุค Internet bubble ที่แม้ bubble จะแตกไป สุดท้ายตอนนี้ก็ไม่มีบริษัทไหนที่ไม่มี website เป็นของตัวเอง อีกหน่อยก็เช่นกัน bubble ของ AI ก็จะแตก แต่มันก็จะกลายเป็นของประจำที่ทุกคนและทุกบริษัทต้องมี แต่จะเหลือแค่ AI ที่ตอบสนองความต้องการจริงๆ ของลูกค้า” ผู้ร่วมก่อตั้ง Looloo Technology กล่าว

นี่คือมุมมองของผู้รอบรู้และรู้จริงโดยเฉพาะเรื่อง ‘AI’ เทคโนโลยีใหม่ ที่ถูกพูดถึงกันมากในสังคมโลกยุคนี้ “ความกลัวไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น” การ “เปิดความรู้” ให้กว้างขวางขึ้น การ “สร้างสัมพันธ์” กับเพื่อนมนุษย์ต่างหาก ที่จะทำให้คนอยู่รอด และมากไปกว่านั้นคือ พยายามหาความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้อยู่เหนือนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเข้ามา พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

อ้างอิง : 

https://www.depa.or.th/th/article-view/ai-development-labor-impact

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง :

คนวงในเตือนความเสี่ยง AI ถึงขั้นอาจทำ ‘มนุษย์สูญพันธุ์’

ใช้ AI ไม่เป็น ระวังเสี่ยงตกงาน คนหางานใส่ทักษะใช้ ChatGPT, Copilot ในโปรไฟล์สมัครงานเพิ่มขึ้น 142 เท่า

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า