แผนที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียยอมรับ สูญเสียพื้นที่ภูมิภาคเคอร์สัน หลังยูเครนไล่ยึดภาคตะวันออก-ใต้คืน

กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่แผนที่การรบล่าสุด ยอมรับสูญเสียพื้นที่ทางตะวันออก-ใต้ของยูเครนเพิ่ม แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม หลังยูเครนเดินหน้ายึดคืนพื้นที่รอบใหม่ โดยฝ่ายยูเครนอ้างสามารถยึดคืนได้ถึง 50 เมือง
.
โดยความเคลื่อนไหวจากฝ่ายรัสเซียล่าสุด ถูกตั้งข้อสังเกตผ่านแผนที่การรบที่เผยแพร่โดยกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ทางตะวันออก ได้แก่บริเวณริมแม่น้ำออสคิว (Oskil) ทางตะวันออก และเมืองดุดชานีย์ (Dudchany) ริมแม่น้ำดนิเปอร์ (Dnieper) ทางตอนใต้ของยูเครน
.
แผนที่ของรัสเซียยอมรับว่า ทางการรัสเซียไม่ได้ยึดครองพื้นที่เหล่านี้อีกต่อไปแล้ว โดยพื้นที่บริเวณริมแม่น้ำออสคิว ตั้งอยู่ในภูมิภาคคาร์คีฟ ใกล้กับพรมแดนแคว้นลูฮานสก์ ซึ่งทางการรัสเซียผนวกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเมื่อไม่กี่วันก่อน อีกทั้งยังใกล้กับเมืองลีมานน์ เมืองยุทธศาสตร์สำคัญที่ฝ่ายรัสเซียใช้เป็นฐานส่งกำลังบำรุง ซึ่งฝ่ายยูเครนเพิ่งประกาศยึดคืนพื้นที่ได้สำเร็จ
.
ส่วนเมืองดุดชานีย์ ทางตอนใต้ของยูเครน ก็เป็นเมืองในภูมิภาคเคอร์สัน อีกหนึ่งพื้นที่ที่รัสเซียเพิ่งประกาศเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเช่นเดียวกัน

แผนที่การรบของฝ่ายรัสเซียที่ออกมายอมรับการสูญเสียพื้นที่ในครั้งนี้ แม้จะไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม แต่ก็เป็นการยืนยันคำกล่าวอ้างของฝ่ายยูเครนที่ระบุว่า กำลังเดินหน้ายึดพื้นที่คืนระลอกใหม่ ทั้งๆ ที่ฝ่ายรัสเซียเพิ่งประกาศให้ 4 แคว้นทางตะวันออกของยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
.
โดยกองทัพยูเครนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า กองทัพรัสเซียในภูมิภาคเคอร์สันถูกทำลายราบคาบ โดยฝ่ายยูเครนยังทำลายคลังเก็บอาวุธและสะพานเพื่อตัดขาดการยึดครองของรัสเซียในพื้นที่ด้วย
.
เช่นเดียวกับนายโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนระบุว่า กองทัพยูเครนได้ปฏิบัติการรุกคืบต่อต้านกองทัพรัสเซียอย่างทันท่วงที พร้อมยึดเมืองคืนได้อีกหลายเมือง สอดคล้องกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ระบุว่า ยูเครนยึดเมืองคืนจากรัสเซียได้ 50 เมืองในภูมิภาคเคอร์สันแล้ว
.
การยึดเคอร์สันคืนจากรัสเซีย นอกจากจะเป็นความคืบหน้าทางการทหารของฝ่ายยูเครนแล้ว ยังถือเป็นความเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญ เนื่องจากเมืองเคอร์สัน เมืองเอกของภูมิภาคนี้ เป็นเมืองที่ฝ่ายรัสเซียเดินหน้ายึดจากยูเครนได้สำเร็จเป็นเมืองแรกๆ นับตั้งแต่เกิดสงครามยูเครนเป็นต้นมา
.
ที่มา Al Jazeera, The Guardian, CNN