โค้งสุดท้ายเตรียมพร้อมเอเปค เปิดลิสต์วีไอพี ‘สี จิ้นผิง’ มาเอง ส่วน ‘ปูติน’ รอคอนเฟิร์ม

โค้งสุดท้ายเตรียมพร้อมเอเปค เปิดลิสต์วีไอพี ‘สี จิ้นผิง’ มาเอง ส่วน ‘ปูติน’ รอคอนเฟิร์ม

จากประชุมคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคและการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดการประชุมเอเปค พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 3/2565 ระหว่างวันที่ 18-19 พ.ย. นี้

โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งเป็นประธานการประชุม ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้เป็นการประชุมเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้าย และจะประชุมทบทวนอีกครั้ง ในวันที่ 14 พ.ย. นี้  โดยวันนี้พูดคุยกันทุกมิติทุกเรื่อง ทั้งการต้อนรับ, สารัตถะ (เนื้อหาหลัก, ใจความสำคัญ), เรื่องอาหาร, การแสดง, การดูแลรักษาความปลอดภัย

ขั้นตอนต่อไปเป็นเรื่องการปฏิบัติ ซักซ้อม ซึ่งอาจจะมีผลกระทบกับประชาชนบ้าง และจะมีปิดการจราจรเป็นระยะตามเส้นทางที่ขบวนรถคณะผู้เข้าร่วมประชุมเดินทาง ซึ่งเป็นที่น่ายินดีที่สมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจตอบรับมาหมดแล้ว โดยผู้นำมาด้วยตัวเอง 18  เขตเศรษฐกิจ รวมถึงแขกพิเศษที่ไทยเชิญ 3 ประเทศ ก็ตอบรับมาหมดแล้ว รอการยืนยันอยู่ประเทศเดียว ถือเป็นความก้าวหน้าที่ดีของประเทศไทยที่ทุกคนพร้อมจะมาร่วมประชุมกับเรา ส่วนรายละเอียดต่างๆ ให้สอบถามจากกระทรวงการต่างประเทศ

ขณะที่ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมเอเปคครั้งนี้เป็นงานใหญ่ระดับโลก มีผู้นำจากหลากหลายภูมิภาคเข้าร่วม นับว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหมาะกับการฟื้นฟูสถานการณ์ต่างๆ ของโลก โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ประกอบกับปัญหาของสภาพภูมิอากาศที่ทรุดโทรมและมีภัยธรรมชาติ รวมถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ซึ่งคาดหวังว่า การประชุมครั้งนี้จะเกิดผลประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อทุกประเทศ โดยในฐานะเจ้าภาพ จะต้องเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ทั้งด้านสารัตถะ พิธีการต้อนรับ การดูแลรักษาความปลอดภัย การจราจร การดูแลสถานการณ์โควิด-19  เพื่อให้เกิดความประทับใจ และเกิดผลสัมฤทธิ์ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเวทีการประชุมใหญ่เท่านั้น แต่รวมถึงการหารือทวิภาคีของผู้นำต่างๆ และกิจกรรมคู่ขนาน คือ การเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

รมว.ต่างประเทศ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีทุกประเทศที่ตอบรับเข้าร่วมการประชุม แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นระดับไหน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้นำสูงสุดของรัฐบาล มีเพียงบางประเทศที่เป็นระดับผู้แทน ทั้งนี้ส่วนใหญ่ต้องการเดินทางเข้าร่วมการประชุม แต่อาจติดปัญหาภายในประเทศ ซึ่งสาเหตุที่ยังไม่เปิดเผยประเทศที่เข้าร่วมอย่างเป็นทางการนั้น เนื่องจากเป็นเรื่องของการรักษาความปลอดภัย โดยต้องเตรียมความพร้อมในระดับสูงสุดของแต่ละประเทศก่อน

สำหรับแขกพิเศษที่ไทยเชิญมา 3 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ในฐานะประธานอาเซียน นายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบีย ซึ่งต่อเนื่องมาจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ผลที่จะตามมาจากการจัดประชุมเอเปค ก็จะนำไปสู่ประโยชน์ที่พึงได้ของประชาชนไทย

สำหรับประเทศที่จะเดินทางมาหารือที่ทำเนียบรัฐบาลอย่างเป็นทางการ นายดอน ระบุว่า มีประมาณ 6-7 ประเทศ รวมถึงสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย เนื่องจากจีนเป็นการเยือนพิเศษ เบื้องต้นนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเดินทางมาด้วยตนเอง

ส่วนประเทศที่ส่งผู้แทนมาเข้าร่วมการประชุม มี 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย เนื่องจากกำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ประเทศเม็กซิโก เนื่องจากปัญหาภายในประเทศ ฮ่องกง เพราะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และไต้หวัน เขตปกครองพิเศษ

ส่วนสหรัฐอเมริกา ขณะนี้ยังยืนยันว่า จะส่ง กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี เข้าร่วมการประชุม ส่วนนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย จะเดินทางมาหรือไม่ อยู่ระหว่างรอการตอบรับอย่างเป็นทางการ

“ฝากไปยังประชาชนคนไทยร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ให้การประชุมสำเร็จเรียบร้อยราบรื่น เพราะจะเกิดประโยชน์ตามมา ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้าการลงทุน  อีกทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นขยายผลให้ประเทศอื่นๆ เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น”

นอกจากนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า หนึ่งในไฮไลต์ของวาระการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย คือ การประชุมของภาคเอกชน ทั้งการประชุม ABAC ครั้งที่ 4 และการประชุมสุดยอดผู้นำภาคเอกชนของเอเปค (APEC CEO Summit) ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะกล่าวปาฐกถาเปิดการประชุม และการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (APEC Leaders’ Dialogue with ABAC)

โดยจะมาแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และพิจารณาประเด็นที่เร่งด่วนในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างสมดุลกับสิ่งแวดล้อม ในโอกาสนี้ ผู้แทนสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคในฐานะประธาน ABAC และ ประธาน CEO Summit ได้กล่าวว่าการเป็นเจ้าภาพของไทยได้รับความสนใจจากเอกชนและนักลงทุนทั้งจากไทยและต่างประเทศจำนวนมาก

ภาพจาก : ทำเนียบรัฐบาล