SHARE

คัดลอกแล้ว

“นรกจะโปรยปรายลงมาใส่คุณอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน” นี่คือคำขู่จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตอนที่ประกาศ ส่งกองทัพถล่มกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน เมื่อวันเสาร์ (15 มี.ค.) พร้อมกับระบุแข็งกร้าวว่า “สหรัฐฯ จะไม่หยุดถล่ม จนกว่าฮูตีจะเลิกโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง” 

หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพสหรัฐฯ ก็เริ่มเปิดฉากโจมตีทั้งทางอากาศและทางทะเลต่อหลายเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับฮูตี ทั้งระบบเรเดาร์ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ระบบขีปนาวุธ รวมไปถึงฐานที่มั่นต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วเยเมน 

มีการเปิดเผยมาจากฮูตีว่า ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากการโจมตีของสหรัฐฯ แล้วอย่างน้อย 53 คน ในจำนวนนี้มีเด็กรวมอยู่ด้วย 5 คน 

ปฏิบัติการนี้ถือเป็นการโจมตีในตะวันออกกลางครั้งใหญ่สุดนับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามารับตำแหน่ง ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นปฏิบัติการที่เกิดขึ้นในขณะที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางกำลังตึงเครียดมากขึ้น ทั้งสงครามในฉนวนกาซาที่ตอนนี้ยังเจรจากันเรื่องข้อตกลงเฟส 2

ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านก็กำลังตึงเครียดจนใกล้จะถึงขีดสุด หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กลับมารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ และพยายามเรียกร้องให้อิหร่านกลับมาเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ ที่เขาเองเป็นคนพาสหรัฐฯ ถอนตัวออกไปตั้งแต่เป็นรัฐบาลสมัยแรก จนอิหร่านหันหลังให้กับข้อตกลง แล้วกลับไปพัฒนาแร่ยูเรเนียมจนก้าวหน้าใกล้ถึงจุดที่จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้

 

ทรัมป์จงใจ ถล่มฮูตี ชิ่งอิหร่าน

อย่างที่รู้กันว่า อิหร่านคือผู้สนับสนุนหลักของฮูตี และกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มที่เคลื่อนไหวอยู่ในตะวันออกกลาง ซึ่งรวมตัวกันในชื่อว่า ‘กลุ่มอักษะต่อต้าน’ (Axis of Resistance) ประกอบด้วย อิหร่าน ฮามาส ฮูตี เฮซบอลเลาะห์ และกลุ่มของอดีตประธานาธิบดีอัล อัสซาด ของซีเรีย 

การโจมตีฮูตีในช่วงเวลานี้ จึงถูกมองว่า วัตถุประสงค์จริงๆ  ไม่ใช่แค่การกำจัดฮูตี แต่เป้าหมายที่แท้จริงของสหรัฐฯ ก็คืออิหร่าน เพราะดูจากหลายๆ องค์ประกอบ ทั้งช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีทรัมป์เลือกเปิดฉากโจมตีฮูตี เกิดขึ้นในเวลาแค่ไม่ถึงสัปดาห์ หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาบีบให้อิหร่านยอมเจรจานิวเคลียร์ แต่อิหร่านปฏิเสธ 

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศชัดเจนว่า ถ้าฮูตียังไม่หยุดโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดง อิหร่านจะต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มนี้ 

ทำให้ตอนนี้ เริ่มมีหลายฝ่ายออกมาแสดงความกังวลกันว่า การใช้ปฏิบัติการทางทหารอย่างเด็ดขาดของประธานาธิบดีทรัมป์ จะยิ่งทำให้สหรัฐฯ กับอิหร่าน เข้าใกล้การเผชิญหน้ากันมากขึ้น 

ซึ่งถ้าดูจากท่าทีของทั้งสองฝ่ายแล้ว โอกาสที่สหรัฐฯ กับอิหร่านจะเผชิญหน้ากัน คงต้องยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ แต่อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายขนาดนั้น เพราะในเวลานี้ สิ่งที่ทั้งคู่แสดงออกมาคือ ต่างฝ่ายต่างไม่มีท่าทีที่จะยอมกัน 

 

ท่าทีอิหร่าน-สหรัฐฯ เป็นอย่างไร

หลังประธานาธิบดีทรัมป์ส่งกองทัพไปถล่มฮูตี และประกาศให้อิหร่านรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลแดง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ก็โพสต์บน X แสดงการสนับสนุนฮูตีทันที โดยระบุว่า  

“ประเทศ #เยเมน (ซึ่งเขาน่าจะหมายถึงฮูตีที่ควบคุมเยเมนอยู่) จะต้องชนะอย่างแน่นอน นี่เป็นทางเดียวที่จะได้มาจากการต้านทาน” และ “สิ่งที่จะทำให้สหรัฐฯ และพันธมิตรตื่นตระหนกในวันนี้ ก็คือความจริงที่ว่า ประเทศมุสลิมยังคงยืนหยัดกันอย่างมั่นคง การต้านทานของพวกเราจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเรื่องนี้เอง” 

ส่วนฝั่งสหรัฐฯ ก็ยังคงมั่นใจว่า ปฏิบัติการทางทหารต่อฮูตีกำลังได้ผล โดยเมื่อวานนี้  นายไมค์ วอลท์ซ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ได้ออกมาเปิดเผยในรายการ ‘This Week’ ของ ABC News ยืนยันว่า สหรัฐฯ สังหารผู้นำฮูตีไปได้หลายคน 

นายวอลท์ซ กล่าวในรายการ ‘This Week’ ว่า ปฏิบัติการของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่เหมือนกับรัฐบาลชุดที่แล้วของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ไม่ได้โจมตีฮูตีอย่างเอาจริงเอาจัง “วิธีการแบบนั้น พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นวิธีที่ไร้ประสิทธิภาพ” 

นายวอลท์ซระบุว่า แต่สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ทำอยู่ มีเป้าหมายอย่างชัดเจน เป้าหมายข้อแรกก็คือการไล่ล่าผู้นำฮูตี และข้อสองก็คือ ทำให้อิหร่านต้องออกมารับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น 

“การกวาดล้างผู้นำฮูตี ถือว่าทำได้ดีตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะมีผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฮูตีถูกสังหารไปหลายคน” ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาวระบุ ก่อนที่เขาจะอธิบายต่อว่า “สิ่งที่ฮูตีทำ ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการค้าโลก 

เรือขนส่งทั่วโลก เกือบ 3 ใน 4 ต้องเลี่ยงไปอ้อมทางใต้ของทวีปแอฟริกา เพราะการกระทำของพวกเขา เป็นสาเหตุให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น เศรษฐกิจทั่วโลกปั่นป่วน และก็ยังเป็นการปิดกั้นการส่งเสบียงไปยังสหรัฐฯ ด้วย”

“ท่านประธานาธิบดีทรัมป์มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และสิ่งที่เราได้รับสืบทอดมาจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ก็คือ สถานการณ์ที่เลวร้าย ดังนั้น เราเลยต้องพยายามแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อให้การค้าโลกกลับมาเป็นปกติ” 

ขณะเดียวกัน นายวอลท์ซยังพูดถึงอิหร่านว่า “ในฐานะที่เป็นผู้ให้ทุน จัดหาทรัพยากร ฝึกอบรม และช่วยเหลือฮูตีในการโจมตี ไม่ใช่แค่เรือรบสหรัฐฯ แต่ยังรวมถึงเรือขนส่งจำนวนมาก เท่ากับว่าอิหร่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างผลกระทบนี้ อิหร่านจึงต้องรับผิดชอบด้วย”  

 

สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร

คำถามสำคัญคือ หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาจะเป็นอย่างไร คำตอบของเรื่องนี้ มีความเห็นหลากหลายจากวิเคราะห์หลายคน หนึ่งในนั้น คือ อเล็ก พลิตซาส นักเคราะห์อาวุโสประจำองค์กร Scowcroft Middle East Security Initiative และหัวหน้าโครงการต่อต้านการก่อการร้ายของสภาแอตแลนติก 

ให้ความเห็นว่าการโจมตีครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ จะไม่หยุดง่ายๆ อย่างแน่นอน  เผลอๆ นี่อาจจะเป็นแค่ครั้งแรก และจะมีการโจมตีแบบนี้เกิดขึ้นอีกหลายครั้งตามมา

“นี่น่าจะเป็นการโจมที่มาจากการทำงานด้านข่าวกรองที่ทุ่มเทอย่างหนักเป็นนานหลายเดือน ดังนั้น สหรัฐฯ ไม่น่าจะหยุดจนกว่าพวกเขาจะหยุดการก่อกวนที่กระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อย่างแน่นอน” พลิตซาสระบุ 

มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับ โทมัส เอส วอร์ริค นักวิเคราะห์อาวุโสด้านการต่างประเทศของ Scowcroft Middle East Security Initiative ที่ให้ความเห็นคล้ายกันว่า “สหรัฐฯ ไม่น่าจะหยุดแค่นี้” พร้อมกล่าวต่อว่า “การโจมตีครั้งใหญ่เมื่อสุดสัปดาห์ ไม่น่าจะหยุดยั้งฮูตีได้ ดังนั้น น่าจะมีการโจมตีแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกหลายครั้ง”  

อย่างไรก็ตาม หากถามว่า การที่สหรัฐฯ โจมตีฮูตีไม่หยุด สุดท้ายจะได้ผลหรือไม่ โอซามา อัล รัลฮานี จากสภาแอตแลนติก ระบุว่า “เรื่องนี้เป็นดาบสองคม เพราะ ยิ่งสถานการณ์ยืดเยื้อไปแบบนี้นานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ฮูตีได้รับความเห็นใจจากพันธมิตร  ส่วนคนที่ต้องรับกรรม จะตกอยู่ที่ชาวเยเมน”

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า