รองประธาน กมธ.สาธารณสุข เสนอล็อกดาวน์ กทม.บางเขต หลังพบยอดผู้ติดโควิด-19 เพิ่มไม่หยุด เร่งฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง และให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ให้เร็วที่สุด แนะรัฐออกมาตรการสำหรับ คนที่ฉีด กับไม่ยอมฉีด
นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ ส.ว. ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สาธารณสุข วุฒิสภา กล่าวถึงมาตรการควบคุมระบาดของไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. ว่า มาตรการที่ทำให้การระบาดลดระดับยังใช้ไม่ได้ผล หมายความว่า หากมีผู้ติดเชื้อ 2,000 ราย จะมีผู้เสียชีวิต 20 ราย
ดังนั้น มาตรการทำงานที่บ้าน สวมหน้ากากอนามัย และปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขเข้มงวด ใช้ไม่ได้ผล ต้องมีมาตรการเสริม คือ ล็อกดาวน์บางเขตที่คุมการติดเชื้อได้ยาก ควบคู่กับการเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยง แต่ในมาตรการล็อกดาวน์นั้น รัฐต้องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้วย
“ประเทศไทย ในระยะเวลา 3 เดือนจากนี้ จะมีวัคซีน 20 ล้านโดส เพื่อฉีดให้ประชาชน แต่การลงทะเบียนจองวัคซีนพบว่ามีน้อย เนื่องจากมีความเข้าใจไม่ครบถ้วน ดังนั้น ควรปรับแผนการฉีดให้กับประชาชนในชุมชน ที่เป็นคลัสเตอร์
และผมเชื่อว่า หากผู้ที่กังวลเห็นว่า คนที่ฉีดวัคซีนไม่เป็นอะไร จะเปลี่ยนมาฉีดเอง โดยไม่ต้องบังคับ เหมือนหลายประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศอิสราเอล ที่ไม่บังคับฉีดวัคซีน แต่มีมาตรการรัฐ เช่น คนที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม สามารถนั่งทานอาหารในร้านได้ ส่วนใครที่ไม่ฉีดให้ซื้ออาหารกลับไปทานที่บ้านเท่านั้น
ทำให้คนที่ไม่ฉีดวัคซีนเดือดร้อน จึงต้องรับวัคซีน ซึ่งประเทศไทย สามารถนำมาพิจารณาปรับใช้ได้ เช่น หากใครไม่ฉีดวัคซีน จะไม่ให้กลับมาเรียนหนังสือ เป็นต้น” นพ.เฉลิมชัย กล่าว
ส่วนการตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ได้ 100 ล้านเข็ม เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ 70% หรือ 50 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ จะเหลือเวลา 8 เดือน ดังนั้นต้องฉีดให้ได้เดือนละ 12 ล้านเข็ม
หากระดมแพทย์และหมอจากทุกโรงพยาบาล ทุกขนาดของรัฐและโรงพยาบาลเฉพาะทาง ที่มีรวมกัน 1,000 แห่งทั่วประเทศ จะทำให้การฉีดวัคซีนทำได้วันละ 400 เข็มต่อแห่ง รวมกัน ได้ 4 แสนเข็ม
ซึ่งศักยภาพดังกล่าว เชื่อว่า รัฐทำได้ แต่หากโรงพยาบาลเอกชน รับวัคซีนของรัฐเพื่อบริการให้ประชาชนฟรี เชื่อว่า จะมีศักยภาพฉีดวัคซีนได้ถึงวันละ 6 แสนเข็มต่อวัน