เลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครศรีธรรมราช บทเรียนราคาแพงของ ปชป.

เลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครศรีฯ

บทเรียนราคาแพงของ ปชป.

ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ ‘เทพไท เสนพงศ์’ พ้นจากความเป็น ส.ส.นครศรีธรรมราช ปกติโดยมารยาททางการเมืองนั้น พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน มักจะหลีกทางให้กับพรรคที่เป็นเจ้าของเก้าอี้เดิม ซึ่งที่ผ่านมา ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ก็หลีกทางให้กับพรรคร่วมรัฐบาลในสนามเลือกตั้งซ่อมมาแล้วหลายครั้ง

แต่สำหรับสนามนี้ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ เลือกที่จะท้าชนแบบเต็มตัว เนื่องจากประเมินแล้วว่า นาทีนี้ นครศรีธรรมราช ไม่ใช่พื้นที่แข็งของพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป ภายหลังเกิดความขัดแย้งกันเองขึ้นระหว่างตระกูล ‘บุณยเกียรติ’ กับ ‘เสนพงศ์’

ที่สำคัญ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ หมายมั่นที่จะใช้การเลือกตั้งซ่อมสนามนี้ สั่งสอน ‘เทพไท’ ที่มักจะทำตัวเป็นฝ่ายค้านในฟากรัฐบาลอยู่หลายต่อหลายครั้ง

ท้ายที่สุด ‘นายกองตรีอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ’ จากค่ายพลังประชารัฐ ก็เฉือนชนะ ‘นายพงษ์สินธุ์ เสนพงศ์’ ของพรรคประชาธิปัตย์ไปแบบเฉียดฉิว เพียง 4 พันคะแนน

หากมองลึกลงไปจะพบว่า สนามเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช ส่งสัญญาณหลายต่อหลายอย่างถึงพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดี

ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประกันรายได้ที่พรรคประชาธิปัตย์ภูมิใจหนักหนานั้น แต่เมื่อเอาเข้าจริง มันก็ช่วยได้แค่ชาวสวนปาล์มกับชาวสวนยาง

ตรงข้ามกับนโยบายบัตรคนจน  หรือโครงการคนละครึ่ง ที่ต้องยอมรับว่า เงินมันเข้าถึงมือประชาชนทุกกลุ่มได้มากกว่าจนกลายเป็นกระแสนิยมอยู่ในขณะนี้

ยิ่งโครงการเราชนะ ที่มีการโอนเงินให้ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ ในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ ทุกพรรคกำลังหาเสียงกับอย่างเข้มข้นด้วยแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่า ชาวบ้านเขาจะเลือกใคร

จริงอยู่ที่แต่ไหนแต่ไรมา ในพื้นที่ภาคใต้ไม่มีพรรคไหนกล้าเสี่ยงแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ให้เจ็บตัว นั่นเพราะบารมี นายหัวชวน หลีกภัย ทำให้คนใต้เลือกคำว่า ‘ศักดิ์ศรี’ ก่อนคำว่า ‘เงิน’

แต่การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ คนใต้มองว่า ‘พรรคพลังประชารัฐ’ กับ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ เป็นพวกเดียวกัน เพราะเป็นพรรครัฐบาลเหมือนกัน ดังนั้น เมื่อนโยบายของพรรคพลังประชารัฐให้เขาได้มากกว่า จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเลือก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นการเลือกพวกเดียวกันเองอยู่ดี

ซึ่งต่างจากสมัยรัฐบาล ‘พรรคไทยรักไทย’ ที่มีเรื่องกล่าวขานกันมาจนถึงวันนี้ว่า ต่อให้ใช้เงินแจกมากมายขนาดไหน ก็ไม่สามารถเอาชนะใจคนใต้ได้ เพราะคนใต้มองว่า เป็นคู่แข่งสำคัญของ ‘พรรคประชาธิปัตย์’

ว่ากันว่า หากสนามเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราชครั้งนี้ ไม่ใช่การแข่งขันกันระหว่าง ‘ประชาธิปัตย์’ กับ ‘พลังประชารัฐ’ แล้วละก็ ดีไม่ดีคะแนนที่ ‘พลังประชารัฐ’ ได้ จะทิ้งห่างคู่แข่งเกิน 4 พันคะแนนอย่างแน่นอน

เทพไท เสนพงศ์ พูดไว้น่าคิดว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งซ่อม ไม่มีนโยบายใหม่ๆ มาแข่งขันกัน จึงเป็นเรื่องของการนำเอาผลงานของรัฐบาลมาเป็นตัวตัดสิน ซึ่งนโยบายที่เกิดขึ้นจึงถูกมองว่าเป็นผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ (จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม) เพราะผลงานของรัฐบาลก็คือผลงานของนายกฯ เป็นอย่างนี้เหมือนกันทุกรัฐบาล เกิดในยุครัฐบาลไหนก็บอกว่าเป็นผลงานของรัฐบาลนั้น และยิ่งบอกว่า หากไม่เลือกเขา นโยบายเหล่านี้อาจจะถูกยกเลิก คนก็ยิ่งกลัว เพราะคนเขาเคยได้อยู่ทุกเดือน ดังนั้นเขาก็ต้องเลือก”

ขณะที่ สัมพันธ์ ทองสมัคร อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ 13 สมัย ก็ยังระบุว่า “เสียดายพรรคการเมืองที่มีอายุยืนนาน มาเสียที่นั่งให้พรรคเฉพาะกิจ ซึ่งภาคใต้ไม่เคยมีอย่างนี้ พรรคประชาธิปัตย์ต้องหยุดพิจารณาตัวเองว่า ควรปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง การจัดคนลงสมัครต้องทบทวนกันใหม่ว่า จะสรรหาคนอย่างไร หากไม่คิดปรับปรุงพรรคคงจะสิ้นอายุไข”

หากพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่สรุปบทเรียนครั้งนี้ การเลือกตั้งสมัยหน้า อย่าว่าแต่จะต้องพ่ายแพ้ให้กับพรรคที่ตัวเองปรามาสว่าเป็น ‘พรรคเฉพาะกิจ’ เลย

ดีไม่ดี เก้าอี้ ส.ส.ที่มีอยู่ในวันนี้ กว่าครึ่งก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำ