SHARE

คัดลอกแล้ว

ถ้าพูดถึง ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ทุกคนต่างยกย่องว่าเขาคือนักลงทุนระดับโลก ที่มีแนวคิดการลงทุนต้นแบบให้ทุกคนได้ศึกษาเป็นแบบอย่างกัน แต่กว่าจะมาถึงวันนี้คุณปู่ก็ทำพลาดในเรื่องของการลงทุนไปเยอะเหมือนกัน 

บทความนี้จะพามาเรียนรู้ ‘ความผิดพลาด’ ของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ ชวนให้อ่านจบแล้วหยิบนำไปปรับใช้กับการลงทุนของตัวเองกัน TODAY Biziview ได้สรุปเรื่องราวนี้จากหนังสือลงทุนอย่างชาญฉลาดแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขียนโดย ‘บาลาจิ คาซัล’ มาสรุปให้ฟัง 

[ ยอมรับความผิดพลาด ยอมรับการเรียนรู้ อยู่ในเกมต่อไป ]

สิ่งหนึ่งที่ปู่ทำบ่อยครั้งและทำทันทีนั่นก็คือการ ‘ยอมรับความผิดพลาด’ หลายครั้งที่เขาและ ‘ชาร์ลี มังเกอร์’ เพื่อนซี้ ตัดสินใจลงทุนผิดพลาดพา เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ขาดทุนกำไร ทั้งคู่มักจะออกรายงานการประชุมสามัญประจำปีเพื่อขอโทษนักลงทุนคนอื่นๆ 

เช่น เขาเคยลงทุนซื้อบริษัท ฮอคชิลด์ โคห์น แอนด์ โค ห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่แถวย่านบัลติมอร์ในสหรัฐฯ ปู่ดิ้นรนหาสินเชื่อกู้ยอมมาซื้อธุรกิจนี้ให้ได้ แม้ผู้ให้บริการสินเชื่อเตือนว่านี่คือธุรกิจขนาดเล็กล้าสมัย 

แต่ทั้งคู่ก็ยังตัดสินใจซื้อห้างนี้ด้วยราคาที่ถูก และได้หุ้นสูงถึง 80% แต่ทว่าถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดเพราะละแวกนั้นมีห้างสรรพค้ามากมายกำลังแข่งกัน และแน่นอนว่าธุรกิจห้างนี้ก็เจ๊งไป ทำให้ปู่ต้องออกมายอมรับผิดในรายงานการประชุมสามัญประจำปีเพื่อขอโทษนักลงทุน และยอมรับว่าเขาไม่ได้ตระหนักถึงเศรษฐศาสตร์ของดีลนี้ 

[ บทเรียนจากหุ้นดิสนีย์ ปู่เรียนรู้ความผิดพลาดจากวิสัยทัศน์ที่ไม่กว้างพอ ]

ย้อนกลับไปในปี 1965 ครั้งหนึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเดินทางไปเยี่ยมโรงภาพยนตร์ดิสนีย์ และได้เจอกับผู้ก่อตั้งอย่างวอลต์ ดิสนีย์ที่เข้ามาอธิบายการทำกำไรของธุรกิจให้ฟัง ปู่จึงตัดสินใจซื้อหุ้นดิสนีย์ 5% ด้วยเงินลทุนราว 4 ล้านดอลลาร์ ผ่านบริษัทห้างหุ้นส่วนที่ชื่อว่า BPL เพราะมองว่าธุรกิจพื้นฐานดี คุ้มค่า มีโอกาสเติบโตไปสู่อนาคตและ 1 ปีถัดจากนั้นมา ปู่ได้ขายหุ้นดิสนีย์ด้วยมูลค่า 6 ล้านดอลลาร์ ทำกำไรให้ BPL ได้ราวๆ 50 % 

ผ่านไป 30 ปี ดิสนีย์ตัดสินใจควบรวมกิจการกับบริษัท แคพิทอลซิตีส์ ซึ่งปู่ก็มีหุ้นอยู่ในนั้น โดยที่ปู่ได้รับกำไรจากบริษัท แคพิทอลซิตีส์สูงถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ และ 3.6% เท่ากับว่าเมื่อสองบริษัทควบรวมกิจการกันปู่ก็ยังคงถือหุ้นดิสนีย์อยู่ 

แต่ 6 ปีผ่าน (ปี 2001) มาปู่ก็ตัดสินใจขายหุ้นพวกนั้นทิ้งทั้งหมด และนำเงินไปลงทุนหุ้นตัวอื่นแทน แต่ทว่าเฉลี่ยแล้วผู้คนไปเที่ยวดิสนีย์ปีละ 11 ล้านคน ตีเป็นเงิน 7 ล้านดอลลาร์หรือ 77 ล้านบาทต่อปี ไม่รวมการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวมาก 

ปัจจุบันถ้าปู่ยังถือหุ้นดิสนีย์อยู่ เขาจะมีมูลค่าหุ้นตัวนี้สูงถึง 8 พันล้านดอลลาร์ ไม่รวมปันผลระหว่างทางที่ปู่จะได้รับด้วย นั่นเป็นเพราะว่าวิสัยทัศน์ของปู่ ‘ไม่กว้างพอ’ ที่จะถือหุ้นตัวนี้ไว้ระยะยาว

บทเรียนครั้งนี้ปู่ออกมายอมรับว่า “ช่างตลกสิ้นดี การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของคุณเป็นเรื่องที่ดี แต่การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของคนอื่นย่อมดีกว่า และแน่นอนว่าการขายหุ้นดิสนีย์ในยุค 60 นี้ถือเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง ผมควรซื้อแบบถือลืมแล้วค่อยขาย”

[ Kraft Heinz ซอสมะเขือเทศที่ทำปู่ติดดอย ]

ในปี 2013 ปู่เคยพา  เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์จับมือกับบริษัทไพรเวทอิควิตี้ 3G แคปพิตอล ซื้อกิจการ H.J. Heinz ด้วยมูลค่า 23 พันล้านดอลลาร์ โดยทั้งสองฝ่ายถือหุ้นร่วมกันในสัดส่วน 50:50 ต่อมาในปี 2015 ไฮนซ์ เข้าซื้อกิจการ คราฟท์ ฟู้ด และรวมกันเป็น คราฟท์ ไฮนซ์ (KHC) ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq และปู่กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 27% ด้วยมูลค่า 9.8 พันล้านดอลลาร์

แต่แล้วก็ประสบปัญหาใหญ่ เทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยน คู่แข่งในตลาดเยอะ คราฟท์ ไฮนซ์ ไม่ได้เป็นตัวเลือกซอสมะเขือเทศที่ดีที่สุด เพราะผู้คนหันไปสนใจอาหารออร์แกนิกและอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งผลประกอบการ คราฟท์ ไฮนซ์ ไม่เป็นอย่างที่คิด บริษัทพยายามลดต้นทุนเพื่อรักษากำไร แต่การเติบโตกลับชะลอตัวลง

แม้ว่าธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ แต่หุ้นของบริษัทกลับร่วงลง มากกว่า 50% จากจุดสูงสุดเกือบ $90 ลงมาเหลือประมาณ $30 ในปี 2019 มูลค่ากิจการถูกปรับลดลงถึง 15,400 ล้านดอลลาร์ รายได้หดหาย ทำให้ปู่ ‘ติดดอย’ ในดีลนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

บทเรียนจากดีลนี้ของปู่สอนให้นักลงทุนคนอื่นรู้ว่า ลงทุนในหุ้นอาหารและเครื่องดื่มมีการแข่งขันสูง ภาพลักษณ์ของแบรนด์ย่อมเสื่อมไปตามกาลเวลา การทุ่มเงินและไว้ใจบริษัทมากไปอาจทำให้เกิดการขาดทุนเช่นดีลนี้

[ ปู่เคยละเลยหุ้นที่ทำกำไรอย่าง Google และหุ้นบุหรี่ ] 

อย่างไรก็ตาม อย่างที่เราทราบกันดีว่าปู่มักจะลงทุนในหุ้นที่เขาเชี่ยวชาญจริงๆ เท่านั้น หรือหุ้นที่เขามองเห็นโอกาสทำกำไร แต่ทว่ามีหุ้นอยู่หลายตัวที่ปู่กับละเลยและมองข้ามมันไป โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไรอย่างมาก

เช่น หุ้น Google ปู่รู้จักบริษัทดีตั้งแต่บุกเบิก รู้จักยัน ‘แลร์รี เพจ’ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง รู้ดีว่า Google เป็นแหล่งค้นหาข้อมูลที่ดี มีโอกาสทำกำไรผ่านการโฆษณา แม้แต่บริษัทในเครือ  เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ ก็ลงโฆษณา ผ่าน Google ปู่มีข้อมูลเชิงลึกของธุรกิจนี้ แต่เขาก็เลือกที่จะเพิกเฉยไม่ลงทุนด้วยอารมณ์และทัศนคติส่วนตัวเองก็ว่าได้

เพราะในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2004 ปู่ได้ให้ความเห็นกับหุ้น Google ว่า “ถ้าคุณเข้าซื้อ Google หลังจากที่คุณอ่านคู่มือผู้ถือหุ้น คุณย่อมรู้และเข้า่ใจว่ากำลังคบค้าสมาคมกับคนแบบไหน และรู้ว่าพวกจะทำอะไรหรือหลีกเลี่ยงสิ่งใด” คำพูดเหล่านี้สะท้อนความอคติส่วนตนที่ปู่มีได้ไม่น้อยเลยทีเดียว 

แน่นอนว่าปู่ลงทุนในหุ้น Apple โดยที่เขาไม่ได้มองว่านี่คือฐานะหุ้นเทคโนโลยีแต่เขากลับมองในฐานะแบรนด์ผู้บริโภคดิจิทัลระดับโลกนั่นเอง

ต่อมาเป็นหุ้นบริษัทยาสูบ ปู่ต่างรู้ดีว่าต้นทุนของการผลิตยาสูบอยู่ที่ราว 1 เพนนีแต่กลับทำกำไรได้มากถึง 1 ดอลลาร์ แต่ปู่รู้สึกว่าอุตสาหกรรมนี้มันผิดศีลธรรม เลยลงทุนผ่านหุ้นตัวต่างๆ ที่เขาคือเช่น วอลมาร์ต หรือ ไพรซ์ คอสต์โกที่เป็นบริษัทค้าปลีกและลงทุนในหุ้นบริษัทยาสูบ แทน แต่ถ้าปู่ลงทุนในบริษัทหุ้นยาสูบโดยตรงก็จะพบว่ามีกำไรมหาศาลรออยู่ 

อย่างไรก็ตาม นี่คือเรื่องราวสั้นๆ ในการลงทุนที่ผิดพลาดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังมีความผิดพลาดอีกมากที่ปู่เคยเผชิญและกว่าจะมาถึงวันนี้ได้

แต่อย่างน้อยเรื่องราวเหล่านี้สอนให้ผู้อ่านอย่างเรารู้ ใช่ว่านักลงทุนระดับโลกจะไม่เคยเอาอารมณ์และทัศนคติส่วนตัวมาตัดสินใจในการลงทุน รู้ว่านี่คือความผิดพลาด ปู่ก็ยอมรับความจริงอย่างตรงไปตรงมาเสมอ และใช้มันเป็นบทเรียนในการลงทุน ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ และเน้นให้ความสำคัญกับคุณภาพของธุรกิจ มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว และบทเรียนเหล่านี้ก็นำพาปู่มาสู่นักลงทุนระดับโลกได้ 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า