ทาง วอร์เนอร์บราเธอร์ส (Warner Bros) ประกาศว่าจะนำภาพยนตร์ทุกเรื่องที่มีกำหนดออกฉายในปี 2564 มาเปิดให้รับชม 2 ช่องทางพร้อมกัน คือในโรงภาพยนตร์ทั่วโลก และ HBO Max ซึ่งเป็นบริการสตรีมมิ่งของทางวอร์เนอร์ฯ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ดีที่สุดสำหรับ 12 เดือนข้างหน้า
โดยกลยุทธ์ที่วอร์เนอร์ฯ ใช้จะแตกต่างไปจากการฉาย มู่หลาน ของดิสนีย์ ที่ต้องจ่ายเงินซื้อภาพยนตร์เพื่อรับชมบนบริการสตรีมมิ่ง Disney+ ครั้งนี้พวกเขาจะเปิดให้ผู้ที่จ่ายค่าบริการรายเดือนอยู่แล้ว สามารถรับชมได้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเป็นเวลา 1 เดือน
แน่นอนว่าการใช้วิธีนี้ไม่ได้สร้างกำไรให้วอร์เนอร์ฯ แต่อย่างใด มีการวิเคราะห์ว่าพวกเขาอาจสูญเสียรายได้ถึง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 36,000 ล้านบาท
แต่การนำภาพยนตร์ออกฉายบนสตรีมมิ่งพร้อมกับฉายในโรงภาพยนตร์ เป็นความพยายามในการสร้างฐานลูกค้าออนไลน์ เพื่อหวังแย่งชิงตลาดจาก Netflix และ Disney+ ที่เป็นผู้นำอยู่ ณ เวลานี้
ในสภาวะที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างหนัก การปรับเปลี่ยนครั้งนี้แม้ว่าจะไม่ใช่แนวทางที่สร้างรายได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้ว ทางค่ายหนังฟอร์มยักษ์รายนี้อาจมองว่าคุ้มที่จะเสี่ยง
รายได้จาก Tenet ที่ออกฉายเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บ่งบอกถึงที่มาที่ไปในการใช้กลยุทธ์เช่นนี้อย่างชัดเจน หลังจากที่ภาพยนตร์ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ทำรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศในสหรัฐฯ เพียงแค่ 57 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ขณะที่รายได้จากประเทศอื่นๆ ในโลกสูงถึง 300.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับภาพยนตร์จากค่ายวอร์เนอร์ฯ ที่มีกำหนดฉายในปี 2564 ตอนนี้มีทั้งสิ้น 17 เรื่องด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น
- Tom & Jerry (5 มี.ค. 2564)
- Godzilla vs. Kong (21 พ.ค. 2564)
- Space Jam: A New Legacy (16 ก.ค. 2564)
- The Suicide Squad (6 ส.ค. 2564)
- The Matrix 4 (22 ธ.ค. 2564)
บริการ HBO Max มีแผนที่จะเริ่มเปิดให้ใช้งานในทวีปอเมริกาใต้และบางประเทศในทวีปยุโรปช่วงกลางปีหน้า และจะทยอยเปิดให้บริการให้ถึง 190 ประเทศทั่วโลกต่อไป
ต้องมารอดูกันว่า การเสี่ยงของวอร์เนอร์ฯ ครั้งนี้จะสร้างฐานลูกค้าเพิ่มเติม เพื่อต่อกรกับเจ้าตลาดสตรีมมิ่งได้มากน้อยเพียงใด ในอีก 12 เดือนข้างหน้า