‘หมอวรงค์’ ยอมรับอยากให้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ให้สัมภาษณ์ที่ศาลอาญา รัชดา ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ ว่า ด้วยหลักการคิดว่าคนที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ เขาก็ควรจะมีสิทธิ์ในการนำเสนอ แต่บังเอิญคนที่รวมเสียงข้างมากในครั้งนี้มีความผิดปกติ มันมีความเสี่ยงต่อกระบวนการล้มล้างการปกครอง และมีความเสี่ยงกับกระบวนการแบ่งแยกแผ่นดิน ซึ่งอันนี้เชื่อว่า ส.ว. ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนขึ้น
“ถ้าถามส่วนตัวผมเนี่ย ถ้าถามส่วนตัวผมนะ ผมอยากให้เขาเป็นนะส่วนตัวผมนะ ผมจะได้ดูว่าดูสิว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วปัญหากลียุคต่างๆ ถ้าเขายังฝืนที่กระทำ เพราะอย่าลืมว่า เขาได้มา 151 เสียงมันไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศ มันไม่ใช่เกิน 50% แต่คุณไปเอาคนอื่นมาผสมผสาน และผมก็เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่การเลือกไม่ได้ผูกมัดกับมาตรา 112 ดังนั้นการที่เขาเอามาตรา 112 มาผูกมัด 14 ล้านเสียงเป็นการมโน… อย่างไรก็แล้วแต่ถ้าถามส่วนตัวผม ผมอยากจะดูแล้วผมก็จะรอ รอวันนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ส.ว.จะตัดสินใจอย่างไร ผมถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของส.ว.นะ นี่เป็นความเห็นส่วนตัวผม” นพ.วรงค์ กล่าว
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง คดี ‘ช่อ’ ฟ้องหมิ่น ‘หมอวรงค์’
วันนี้ นพ.วรงค์ เดินทางมาขึ้นศาล เพื่อรับฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช (ช่อ) กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เป็นโจทก์ฟ้อง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี เป็นจำเลย ในความผิดฐาน หมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา กรณีที่ นพ.วรงค์ เปิดเผยข้อมูลว่า คณะก้าวหน้ามีการบิดเบือนเงินบริจาคโครงการเมย์เดย์ ที่จัดระดมทุนช่วยเหลือนักดนตรีช่วงโควิด-19 โดยจำเลยให้การปฏิเสธในคดีนี้
ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยระบุว่า น.ส.พรรณิการ์เป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนรู้จักการที่นพ.วรงค์ เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวถือเป็นการแสดงความเห็นสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนที่ย่อมทำได้ อีกทั้งรายชื่อ 11 คนที่รับเงินบริจาคไปตามที่นพ.วรงค์กล่าวอ้าง ตรวจสอบแล้วไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร จึงไม่มีตัวตน ศาลจึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ที่พิพากษา “ยกฟ้อง”