SHARE

คัดลอกแล้ว

รู้กันเสมอว่ากลยุทธ์การเลือกหุ้นของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ ไม่วิ่งตามกระแส แต่ลงทุนในอนาคต และสไตล์ของเขาคือ “เดิมพันระยะยาว”

แต่แน่นอนว่า หุ้น AI ที่เป็นทั้งกระแสและอนาคต จะมองข้ามเลยไปแบบนั้นก็จะเกินไป แม้ปู่บัฟเฟตต์จะไม่อินกับเรื่อง AI ไม่เน้นตามเทรนด์ แต่เขาก็รู้ว่าอนาคตอยู่ตรงไหน

จะเห็นว่าปัจจุบันหุ้นสำคัญในพอร์ตของ Berkshire Hathaway หลายตัวได้หันมาใช้ AI เป็นเครื่องมือรันธุรกิจอย่างจริงจัง ซึ่งในพอร์ตการลงทุนของ Berkshire ที่เขาบริหารมาตั้งแต่ปี 1965 จนตอนนี้มีมูลค่ากว่า 2.65 แสนล้านดอลลาร์ น่าสนใจว่ามีลงทุนในหุ้น AI อยู่ที่ 34.4%

[ หุ้น 4 ตัว ที่บัฟเฟตต์ลงทุนในบริษัทที่รันธุรกิจด้วย AI ]

1.Domino’s Pizza 0.4% ของพอร์ต Berkshire

Domino’s Pizza เป็นเชนพิซซ่าที่ใหญ่ที่สุดในโลก เสิร์ฟลูกค้ากว่า 1 ล้านคนต่อวันใน 90 ประเทศ บริษัทนำ AI เข้ามาช่วยในหลายด้าน เช่น เปิดตัวระบบ “Voice of the Pizza” ที่ใช้ AI วิเคราะห์คอมเมนต์ในเว็บบอร์ดอย่าง Reddit เพื่อส่งข้อมูลฟีดแบ็กลูกค้ากลับไปยังสำนักงานใหญ่โดยอัตโนมัติ

และยังใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าในเว็บไซต์ เพื่อคาดเดาและเริ่มทำพิซซ่าแม้ก่อนที่ออเดอร์จะถูกกดยืนยัน

นอกจากนี้ Domino’s ยังวางแผนใช้ AI ในการบริหารสต๊อกสินค้า และการจัดตารางพนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่บัฟเฟตต์มองว่าเป็นปัจจัยสำคัญของบริษัทที่น่าลงทุน

2.Amazon 0.7% ของพอร์ต Berkshire
.
Berkshire เคยซื้อหุ้น Amazon ตั้งแต่ปี 2019 แม้บัฟเฟตต์จะยอมรับว่าเสียดายที่มองเห็นโอกาสช้าเกินไป แต่ถึงอย่างนั้น มูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ก็ยังสูงถึงกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์

โดย Amazon รู้ดีกันว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใช้ AI อย่างมากในระบบงาน และมองว่า AI คือโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่ที่สุดของยุคนี้ ทำให้เราเห็น Amazon พัฒนา AI อย่างมาก เช่น พัฒนา AI ผู้ช่วยชื่อ Rufus ช่วยแนะนำสินค้าบนแพลตฟอร์ม Amazon.com ใช้ AI และเทคโนโลยี Computer Vision ในศูนย์กระจายสินค้าเพื่อคัดแยกสินค้าที่มีปัญหา ลดการคืนสินค้า และมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI บนแพลตฟอร์ม Amazon Web Services (AWS) ซึ่งมีรายได้กว่า 1.07 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี

3. Coca-Cola 11% ของพอร์ต Berkshire

Coca-Cola อาจไม่ได้เป็นชื่อแรกที่คนจะนึกถึงเมื่อพูดถึง AI แต่บริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ก็เริ่มปรับตัวอย่างจริงจัง เช่น มีแคมเปญช่วงคริสต์มาส “Create Real Magic” ที่เปิดให้ผู้ใช้งานสร้างลูกโลกหิมะดิจิทัลผ่าน AI

มีการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาลเพื่อคาดการณ์ว่ารสชาติในอนาคตจะเป็นอย่างไร และนำไปสู่การผลิตเครื่องดื่มพิเศษ Coca-Cola Y3000

นอกจากนี้ Coca-Cola ยังลงทุนกว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ ร่วมกับ Microsoft Azure เพื่อยกระดับการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI ภายในปี 2029 ครอบคลุมทั้งการเพิ่มผลิตภาพในที่ทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพซัพพลายเชน

Berkshire ถือหุ้น Coca-Cola มาตั้งแต่ปี 1988–1994 รวม 400 ล้านหุ้น และไม่เคยขายแม้แต่หุ้นเดียว มูลค่าสูงถึงเกือบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และรับเงินปันผลกว่า 776 ล้านดอลลาร์ ในปี 2024 เพียงปีเดียว แสดงให้เห็นถึงพลังของการลงทุนระยะยาวและผลตอบแทนทบต้นที่บัฟเฟตต์ยึดถือ

4. Apple 22.3% ของพอร์ต Berkshire

Apple ยังคงเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่สุดในพอร์ต Berkshire ด้วยมูลค่ากว่า 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์ แม้ในปี 2024 บัฟเฟตต์จะขายหุ้น Apple ออกไปกว่าครึ่งเพื่อบริหารความเสี่ยง แต่ยังคงถือไว้ในสัดส่วนใหญ่มาก

Apple เตรียมพร้อมสำหรับยุค AI มานาน โดยพัฒนาชิปเฉพาะทางสำหรับ iPhone, iPad และ Mac จนนำไปสู่การเปิดตัว Apple Intelligence ซึ่งรวมฟีเจอร์อย่างการสรุปข้อความ ช่วยเขียนอีเมล และจัดลำดับความสำคัญของการแจ้งเตือนตามความสนใจของผู้ใช้

ด้วยจำนวนอุปกรณ์ Apple ที่เปิดใช้งานมากกว่า 2.2 พันล้านเครื่องทั่วโลก ทำให้ Apple มีศักยภาพที่จะกลายเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ AI แก่ผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดในโลกในอนาคต

ทั้ง 4 หุ้น ข้างต้น ยิ่งสะท้อนว่า แม้วอร์เรน บัฟเฟตต์จะไม่ใช่นักลงทุนที่วิ่งตามเทรนด์ AI แต่บริษัทที่เขาลงทุนไว้นั้นกำลังขับเคลื่อนอนาคตของตัวเองผ่านเทคโนโลยีอัจฉริยะ มองระยะยาวโอกาสจาก AI อาจทำให้พอร์ต Berkshire Hathaway เติบโตต่อเนื่องในอนาคต

[ แนวคิดลงทุนสุดเรียบง่ายของบัฟเฟตต์ ]

เป็นที่รู้กันว่า วอร์เรน บัฟเฟตต์ มักจะบอกว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขา มีกฎง่ายๆ คือ

“จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว” เขาเขียนประโยคนี้ไว้ในบทความช่วงวิกฤตการเงินปี 2008

ในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 เศรษฐกิจสั่นสะเทือนตลาดหุ้นร่วง บางคนรีบขายเพราะกลัว บางคนชะลอลงทุนเพราะไม่แน่ใจ แต่ในวันที่คนส่วนใหญ่ตื่นตระหนก ทำให้ต้องนึกถึงบทความในอดีตที่เขาเขียนไว้ ในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ว่า เขายังคงซื้อหุ้นสหรัฐฯ ต่อเนื่อง แม้ตลาดกำลังดิ่ง เพราะเขาเชื่อในพลังระยะยาวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และมองว่าความกลัวของคนส่วนใหญ่ คือช่วงเวลาที่หุ้นดีๆ ราคาถูกลงนั่นเอง

[ แล้วตอนนี้ที่ตลาดผันผวนอีกแล้ว ? ]

ที่ผ่านมาบัฟเฟตต์ไม่เคยปฏิเสธว่าความกลัวในตลาดเป็นเรื่องจริง นักลงทุนมีสิทธิ์กังวลเมื่อนโยบายเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างไม่มีทิศทาง หรือเมื่อสงครามการค้ากลับมาร้อนแรงกว่าที่คาดไว้ เขาเข้าใจดีว่าหากใครที่พึ่งพารายได้จากการลงทุนอย่างเต็มตัวย่อมต้องคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจในช่วงที่ตลาดปั่นป่วน

แต่สำหรับคนที่มีเป้าหมายทางการเงินระยะยาว ยังไม่ต้องใช้เงินก้อนนี้ในอีกหลายปีข้างหน้า หากยึดตามประโยคคลาสสิกปี 2008 นั้นกลยุทธ์ของบัฟเฟตต์ก็คือ “อย่าหยุดลงทุนในยามที่หุ้นราคาถูก”

สิ่งที่ทำให้แนวทางของเขาได้ผล ไม่ใช่การเดาว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น แต่เป็นการยึดหลักของการลงทุนระยะยาวในตลาดที่มั่นคงและมีความหลากหลาย เขาเชื่อว่าบริษัทดีๆ ย่อมผ่านช่วงเวลายากลำบากไปได้ และสุดท้ายจะกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

เมื่อย้อนกลับไปดูช่วงปี 2008 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรอบหลายสิบปี ดัชนี S&P 500 เคยร่วงลงมากกว่า 50% นักลงทุนส่วนใหญ่ตกใจและขายหุ้นทิ้งในราคาขาดทุน แต่บัฟเฟตต์กลับใช้ช่วงเวลานั้นในการ “เปลี่ยนพอร์ต” จากพันธบัตรเป็นหุ้นอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ตามมาในไม่กี่ปีต่อมาคือการฟื้นตัวของตลาด และหุ้นสหรัฐฯ ก็พุ่งกลับขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่

เขาเคยเขียนไว้ว่า สหรัฐอเมริกาเคยผ่านสงครามโลกสองครั้ง วิกฤตเศรษฐกิจซ้ำซ้อน วิกฤตน้ำมัน โรคระบาด การลาออกของประธานาธิบดี และอีกสารพัดความปั่นป่วน แต่ตลอดศตวรรษที่ 20 ดัชนี Dow Jones ก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นจาก 66 จุด ไปถึงเกือบ 12,000 จุดได้

ข้อคิดของบัฟเฟตต์จึงไม่ใช่เรื่องของ “ทักษะการเลือกหุ้นขั้นเทพ” แต่คือการมีวินัยในการลงทุน รู้จักอดทน และมองให้ข้ามความกลัวในช่วงสั้น เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่มากกว่าในระยะยาว

แน่นอนว่าการลงทุนในวันที่ข่าวร้ายรุมเร้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากคุณยังมีเวลา ยังไม่รีบใช้เงิน และยังเชื่อในศักยภาพของเศรษฐกิจระยะยาวก็อาจต้องมองเรื่องนี้ให้เป็นเกมยาวอย่างวอร์เรน บัฟเฟต์นั่นเอง

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า