‘วัตสัน’ เชื่อมั่นไม่ใช่ดิสรัปชัน แต่ออนไลน์-ออฟไลน์ช่วยกันโต

ปัจจุบัน ‘วัตสัน’ มีสาขา 670 สาขาทั่วประเทศไทย ครอบคลุม 76 จังหวัดและกำลังจะขยายสาขาในจังหวัด ‘อุทัยธานี’ เป็นจังหวัดสุดท้ายก็จะครบ 77 จังหวัด มีสาขาทั่วทุกจังหวัด โดยก่อนหน้านี้ ‘วัตสัน’ เคยเผยเป้าหมายที่จะเติบโตครบ 1,000 สาขาภายในปี 2572 

ล่าสุด ‘พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์’ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย เปิดเผยว่า วัตสันจะยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่องเหมือนที่เคยขยายเฉลี่ย 50 สาขาต่อปี รวมถึงช่วงที่ผ่านมายังได้ขยาย ‘คลังสินค้า’ ในพื้นที่วังน้อย อยุธยา ขนาด 10,000 ตารางเมตรเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเติบโตต่อเนื่องของช่องทางจำหน่ายออนไลน์

โดยเดิม ‘วัตสัน’ มีคลังสินค้า 2 แห่งในกรุงเทพฯ และขอนแก่น แต่หลังจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 2 หลักของช่องทางออนไลน์ในช่วงโควิด ซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา

ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสั่งแล้วได้รับสินค้าเร็วที่สุด การขยายคลังสินค้าเพื่อรองรับแพลตฟอร์มออนไลน์โดยเฉพาะจึงเป็นเรื่องจำเป็น

ปัจจุบันการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของวัตสันยังมีสัดส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับการจำหน่ายผ่านออฟไลน์ แต่ ‘วัตสัน’ ก็เชื่อว่า กลยุทธ์การเติบโตแบบ O+O หรือ Online to Offlince เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและพร้อมที่จะเดินต่อ

ช่องทางจัดจำหน่ายออนไลน์ที่ดีที่สุดของวัตสัน คือ ช่องทางตรงอย่าง ‘เว็บไซต์’ และ ‘แอปพลิเคชัน’ วัตสันที่มีจำนวนยอดดาวน์โหลดกว่า 6.2 ล้านครั้ง หรือเป็นเกือบทั้งหมดของสมาชิกวัตสันทั้งหมดที่มีจำนวนกว่า 8 ล้านคน รวมถึงมียอดการซื้อต่อครั้งสูงกว่าออฟไลน์ 2 เท่าและมีความหลากหลายมากกว่าสาขาที่มีขยายเฉลี่ย 150-160 ตร.ม.

ที่น่าสนใจ คือ ลูกค้าที่ซื้อหน้าร้านและออนไลน์มียอดซื้อสูงกว่า 3 เท่าของลูกค้าที่ซื้อหน้าร้านเพียงอย่างเดียว

จึงเชื่อว่าการเข้ามาของดิจิทัลไม่ได้ดิสรัปธุรกิจร้านเพื่อสุขภาพและความงาม แต่การเสริมการขายระหว่างสองแพลตฟอร์มช่วยให้วัตสันสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

วัตสันจึงได้พยายามจะเชื่อมสองแพลตฟอร์มอย่างไรรอยต่อ โดยในเดือนเมษายน วัตสันจะเปิดตัว “โปรโมเชื่อม” โปรโมชั่นที่ซึ่งออกแบบมาเพื่อเชื่อมต่อการชอปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์สำหรับสมาชิกวัตสัน คลับ

หากสมาชิกวัตสันคลับซื้อสินค้าในช่องทางออนไลน์ จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 5% เมื่อชอปสินค้าที่หน้าร้านวัตสันในเดือนเดียวกัน และเช่นเดียวกัน หากสมาชิกซื้อสินค้าที่หน้าร้านก่อน ก็จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 5% เมื่อซื้อสินค้าทางออนไลน์ในเดือนเดียวกัน 

‘พสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์’ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า “เราตระหนักดีว่า พฤติกรรมของลูกค้าได้เปลี่ยนไปแล้ว และการปรับเปลี่ยนวิธีที่เราให้บริการลูกค้าทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์คือกุญแจสู่ความสำเร็จของเรา

โดยกลยุทธ์แพลตฟอร์ม O+O ถือเป็นรูปแบบธุรกิจและกลยุทธ์หลักของเรา ซึ่งในปีนี้เรามีแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถชอปกับเราได้ในทุกสถานการณ์ รวมถึงลูกค้าต้องสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ในราคาที่ดีที่สุด ในทุกๆ ครั้งของการชอปปิ้ง

และแม้ว่าการกลยุทธ์ O+O หมายถึงเรามีสองช่องทาง แต่เราเห็นว่าลูกค้าคนเดียวกันของเรา จะซื้อสินค้าทั้งจากทางออนไลน์และหน้าร้านนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการ เวลา หรือสถานที่ในขณะนั้น ซึ่งหมายความว่าเราต้องมอบสิทธิประโยชน์ที่เท่ากันให้กับลูกค้าแต่ละราย และ “โปรโมเชื่อม” จะเป็นการมอบสิทธิประโยชน์ให้แก่ลูกค้าที่ซื้อสินค้าทั้งสองช่องทางของเราได้อย่างทั่วถึง” 

นอกจากนั้น ปีนี้วัตสันยังได้เปิดตัว Dermaction Plus Solar Barrier ผลิตภัณฑ์เวชสำอางกันแดดซึ่งเป็นแบรนด์ของวัตสันเองและมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายและเวชสำอางของวัตสันเองเพิ่มเติมอีก รวมถึงยังได้เพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ยั่งยืนสำหรับลูกค้า โดยปัจจุบันลูกค้ามีตัวเลือกมากถึง 1,800 รายการ รวมทั้งออกผลิตภัณฑ์แบบรีฟิลและลดการใช้บรรจุภัณฑ์

ด้านภาพรวมตลาดสุขภาพและความงาม ‘พสิษฐ์’ เชื่อว่าเป็นธุรกิจสุดท้ายที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ สังคม หรือพลังงาน เพราะส่วนใหญ่เป็นของใช้จำเป็นที่จะถูกลดการจับจ่ายใช้สอยเป็นอย่างสุดท้าย ปัจจุบัน หลังเปิดประเทศ วัตสันได้รับผลกระทบเชิงบวกจากการเข้ามาของนักท่องเที่ยว แม้จะยังไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 เพราะเที่ยวบินยังมีจำนวนน้อยกว่ามา แต่แนวโน้มก็ดีขึ้นเรื่อยๆ