อ่านความคิด ทิม คุก ซีอีโอ Apple ในฐานะผู้นำองค์กรเทคใหญ่ที่สุดในโลก คิดเห็นอย่างไรกับ Metaverse

Metaverse กลายเป็นคำฮิตติดปากของบรรดาองค์กรเทคโนโลยีไปแล้ว แต่เรายังไม่เห็นทิศทางของ Apple ที่มีต่อ Metaverse เท่าไรนัก 

จนกระทั่งวันประกาศรายงานผลประกอบการของ Apple ที่ผ่านมา ทิม คุก ซีอีโอตอบคำถามเรื่อง Metaverse ว่าทางบริษัทก็กำลังพิจารณาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน และกำลังลงทุนเพื่อสำรวจศักยภาพของนวัตกรรมนี้ 

นอกจากนี้ยังมีคำถามด้วยว่าโอกาสของ Metaverse มีมากแค่ไหน และ Apple จะยืนอยู่ตรงไหนในโลก Metaverse 

“นั่นเป็นคำถามใหญ่ แต่เราเป็นบริษัทด้านนวัตกรรม ดังนั้นเราจึงสำรวจเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ เรามีแอปพลิเคชัน ARKit มากกว่า 14,000 แอปใน App Store ซึ่งมอบประสบการณ์ AR ที่เหลือเชื่อให้กับผู้คนนับล้านในปัจจุบัน เราเห็นศักยภาพมากมายในพื้นที่นี้ และกำลังลงทุนในเรื่องนี้”  ทิม คุก กล่าว

เป็นคำตอบที่ไม่ได้ใช้คำว่า Metaverse ตรงๆ แต่ก็สามารถจับทางได้ว่า Apple กำลังมองๆ เรื่อง Metaverse อยู่แน่นอน 

ในคำพูดของ ทิม คุก พูดถึงเทคโนโลยี AR หรือ Augmented Reality หรือความจริงเสมือน ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกับ Metaverse ซึ่งก็ต้องบอกว่า Apple ลงทุนและจริงจังเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว 

แพลตฟอร์ม ARKit คือชุดเครื่องมือที่เปิดให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ เข้ามาสร้างเทคโนโลยีใหม่เช่น การจำลองนำวัตถุสามมิติมาวางบนพื้นที่จริง การสร้างตัวละครในเกม การวัดระยะของวัตถุจริงด้วยการใช้กล้องมือถือหรือ iPad โดยนักพัฒนาสามารถนำเครื่องมือ ARKit ไปสร้างแอปพลิเคชันของตัวเองได้ 

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจถ้า Apple จะเข้าวงการ Metaverse เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีรออยู่แล้ว และยังมีภารกิจที่ต้องแข่งขันกับบรรดาบริษัท Big Tech ที่ลงทุนเงินไปมหาศาลกับ Metaverse 

คอนเซปต์ Metaverse เกิดขึ้นครั้งแรกในภาพยนตร์ไซไฟคลาสสิกเรื่อง Snow Crash ของ Neal Stephenson ในปี 1992 อธิบายถึงอนาคตที่โลกทางกายภาพและโลกดิจิทัลหลอมรวมกันผ่านการใช้ ชุดเครื่องมือ AR, VR

Metaverse กลับมาเป็นกระแสใหญ่เมื่อ Facebook รีแบรนด์ตัวเองใหม่ เป็น Meta และมีความเชื่อว่าอนาคตของอินเทอร์เน็ตคือ Metaverse (มีบางเสียงวิจารณ์ว่า ที่บริษัทรีแบรนด์ตัวเองก็เพื่อหันเหความสนใจจากปัญหา Facebook ที่สั่งสมมาหลายปี) 

หลังจากนั้น Metaverse ก็กลายเป็นเทรนด์ที่บริษัทไอที และการตลาดต้องเข้ามาลงทุนและเรียนรู้เพื่อไม่ให้ตกขบวน เช่น

• Samsung เปิดร้านค้าในโลก Metaverse
• Microsoft นำประสบการณ์การประชุมเสมือนจริงมาใช้ใน Microsoft Teams 
• Sony ลงทุนซื้อกิจการใน Bungie บริษัทเกมที่เน้นเกม Metaverse เป็นโปรเจกต์สำคัญ
• Disney จดสิทธิบัตร Virtual World Simulator เที่ยวสวนสนุกแบบ Metaverse 
• ห้างค้าปลีก Walmart ยื่นเอกสารจดเครื่องหมายการค้า เพื่อขายสินค้าเสมือน (virtual goods)
• NIKE จดทะเบียนการค้า เตรียมผลิตสินค้าเสมือน

อย่างไรก็ตาม ตัว Metaverse เองก็ถูกตั้งคำถามไม่น้อยว่ามันจะออกมาหน้าตาแบบไหน จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ 

Intel เจ้าพ่อวงการชิปเซมิคอนดักเตอร์มีความเห็นต่างจากบรรดาบริษัทอื่นๆ 

Raja Koduri รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปของ Accelerated Computing Systems and Graphics Group ของ Intel กล่าวไว้เมื่อปีที่แล้วว่า Metaverse ต้องการประสิทธิภาพของระบบคอมพิวติ้งเพิ่มขึ้นอีก 1,000 เท่าเมื่อเทียบกับที่มีอยู่ตอนนี้ 

ในการนำคนเข้าไปอยู่ใน Metaverse โดยคงรายละเอียดของตัวอวตารเสื้อผ้า หน้าผม สีผิวเหมือนจริง จำเป็นต้องใช้พลังฮาร์ดแวร์ เซนเซอร์ การเรนเดอร์ให้เป็นรูปแบบสามมิติพร้อมกัน ระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ตต้องได้รับการอัพเกรดครั้งใหญ่ 

ซึ่งสามารถสรุปได้คร่าวๆ ว่า Metaverse ระดับใหญ่อาจไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ 

อ้างอิงข้อมูล : Business Insider, Apple Insider, Gizmodo, Intel