องค์การอนามัยโลกเผย ‘โอไมครอน’ ระบาดแล้ว 110 ประเทศ ย้ำแพร่เร็ว พบผู้ติดเชื้อเพิ่มสองเท่าใน 2-3 วัน

องค์การอนามัยโลกเผย ไวรัส ‘โอไมครอน’ ถูกพบแล้วใน 110 ประเทศ ย้ำเป็นสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว บางพื้นที่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นสองเท่าในเวลาเพียง 2-3 วัน แม้อาการป่วยจะไม่รุนแรงเท่าเดลตา

วันที่ 25 ธ.ค. 2564 องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนถูกพบแล้วใน 110 ประเทศทั่วโลก และยังคงแพร่กระจายอย่างทวีคูณ โดยมีหลายพื้นที่ที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในระยะเวลาแค่เพียง 2-3 วัน

องค์การอนามัยระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวานนี้ (24 ธ.ค.) ว่า จากข้อมูลล่าสุดที่มีอยู่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน มีความได้เปรียบในการแพร่กระจายเชื้อมากกว่าสายพันธุ์เดลตา โดยพบว่าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในประเทศที่มีรายงานพบการระบาดในชุมชน 

แถลงการณ์ขององค์การอนามัยโลกระบุต่อไปว่า “แนวโน้มการเติบโตของการแพร่ระบาดในแอฟริกาใต้กำลังลดลง เนื่องจากพบอัตราการติดเชื้อลดลงในจังหวัดเคาเต็ง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองโจฮันเนสเบิร์ก อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถบอกได้ว่า อัตราการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนพ.ย. ที่ผ่านมานั้น เป็นเพราะเชื้อไวรัสสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ หรือมีการแพร่เชื้อในชุมชนเกิดขึ้นตามธรรมชาติในช่วงเวลานั้นพอดี ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดจากทั้งสองสาเหตุรวมกัน”

องค์การอนามัยโลกอธิบายต่อว่า แม้ข้อมูลเบื้องต้นจากแอฟริกาใต้, สหราชอาณาจักร และเดนมาร์ก จะแสดงให้เห็นว่า โอไมครอนมีความเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ติดเชื้อต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลต่ำกว่าเดลตา แต่นี่เป็นเพียงบางแง่มุมที่ยังไม่สามารถบอกได้แน่ชัดถึงความรุนแรงของเชื้อตัวนี้ ซึ่งอาจสามารถเปลี่ยนแปลงได้หากมีข้อมูลใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติม 

“เรายังต้องหาข้อมูลเพิ่มจากประเทศต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าอาการป่วยรุนแรงอย่าง การต้องให้ออกซิเจน, ใช้เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อ มีความสัมพันธ์กับเชื้อโอไมครอนอย่างไร” 

นอกจากนี้ องค์การอนามัยยังคงย้ำว่า ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโอไมครอนในตอนนี้ยังคงมีอยู่อย่างจำกัด และยังไม่หลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับความสามารถในการหลบหลีกภูมิคุ้มกันของไวรัสตัวนี้ โดยยกตัวอย่างถึงกรณีที่พบการติดเชื้อซ้ำเพิ่มขึ้นในสหราชอาณาจักร, เดนมาร์ก และอิสราเอล ซึ่งจำเป็นที่จะต้องอาศัยการเก็บข้อมูลเพิ่มเติมมาทำการศึกษาด้วยความระมัดระวังต่อไป