Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

การเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ใช้เวลานับคะแนนข้ามวันข้ามคืน จนหลายคนสงสัยว่า ทำไมผลการนับคะแนนถึงออกมาช้าขนาดนี้ วันนี้ workpointTODAY สรุปสาเหตุที่มีอยู่หลายปัจจัยมาให้อ่านกัน

1️⃣

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สหรัฐฯ ประกอบด้วย 50 รัฐ และแต่ละรัฐมีอิสระที่จะบังคับใช้กฎหมายการเลือกตั้ง ทำให้กฎเกี่ยวกับการเลือกตั้ง รวมถึงแนวทางการนับคะแนนไม่เหมือนกัน

โดยการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จัดขึ้นท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้การเลือกตั้งล่วงหน้า ซึ่งหมายถึงทั้งการเดินทางมาเลือกตั้งล่วงหน้าที่คูหาด้วยตัวเอง เพื่อลดความแออัดในวันเลือกตั้ง รวมไปถึงการเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์ได้รับความนิยมมากขึ้น รายงานก่อนวันเลือกตั้งระบุว่า มีชาวอเมริกันใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้ามากกว่า 100 ล้านคน

แต่การลงคะแนนล่วงหน้าไม่ได้ทำให้รู้ผลเลือกตั้งเร็วขึ้น เพราะกฎหมายแต่ละรัฐระบุถึงวิธีการนับบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าไม่เหมือนกัน บางรัฐอนุญาตให้นับบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าได้เลย แล้วค่อยประกาศคะแนนหลังปิดหีบเลือกตั้งในวันจริง ขณะที่บางรัฐระบุให้นำบัตรเลือกตั้งล่วงหน้ามานับภายหลัง ยังไม่รวมการที่บางรัฐต้องรอรับบัตรเลือกตั้งที่อาจมาถึงช้า แต่ประทับตรายืนยันว่าลงคะแนนก่อนวันเลือกตั้งด้วย

2️⃣

ความแตกต่างเรื่องวิธีการนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้งล่วงหน้า ทำให้เราอธิบายความซับซ้อนของการเลือกตั้งสหรัฐฯ รอบนี้ได้หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเรื่องผลการเลือกตั้งที่พลิกไปพลิกมาในบางรัฐ

ยกตัวอย่างกรณีรัฐโอไฮโอ ที่ผลในตอนแรกชี้ว่า นายโจ ไบเดนและพรรคเดโมแครตมีคะแนนนำสูงมาก แต่ต่อมาคะแนนของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกันกลับเพิ่มสูงขึ้นในภายหลังจนได้รับชัยชนะในรัฐโอไฮโอ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐโอไฮโอมีแนวทางให้นับบัตรลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ที่เลือกตั้งด้วยวิธีนี้จะเลือกพรรคเดโมแครต

ในทางกลับกัน หลายรัฐที่ใช้แนวทางนับบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าทีหลัง เช่นรัฐเพนซิลเวเนียและรัฐจอร์เจีย เราจะเห็นคะแนนของประธานาธิบดีทรัมป์นำในช่วงแรก ก่อนที่นายไบเดนจะไล่ตามมาอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายที่เป็นการนับคะแนนจากบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้สนับสนุนนายไบเดนนิยมในการเลือกตั้งครั้งนี้

3️⃣

ย้อนกลับไปที่คำถามว่า ทำไมการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้ถึงรู้ผลช้า นอกจากวิธีการนับคะแนนในแต่ละรัฐที่ต่างกันแล้ว ความซับซ้อนของระบบเลือกตั้งยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุด้วย

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้วัดผลกันที่คะแนนนิยมโดยตรง แต่จะคำนวณจากจำนวนคณะผู้เลือกตั้งที่มีอยู่ทั่วประเทศ 538 คน ใครมีคณะผู้เลือกตั้งเกินกึ่งหนึ่งคือ 270 คนก่อน ก็จะเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป

แต่ผลการเลือกตั้งที่ทางการประกาศคือคะแนนนิยม ดังนั้นบรรดาสื่อมวลชนจะต้องนำคะแนนเหล่านั้นมาคาดการณ์ต่อเองว่า คะแนนที่ออกมาเพียงพอหรือไม่ที่จะประกาศให้ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งชนะในรัฐนั้น

แนวทางคาดการณ์ของสื่อมวลชนก็มีตั้งแต่ผลคะแนนล่าสุดของผู้สมัคร บัตรเลือกตั้งที่ยังไม่ได้นับ สถิติในอดีต ไปจนถึงลักษณะทางสังคม ความนิยมและวิธีเลือกตั้งของคนในพื้นที่ เป็นต้น

ด้วยความที่จำนวนคณะผู้เลือกตั้งมาจากการคาดการณ์อย่างไม่เป็นทางการ ทำให้เราได้เห็นว่า สื่อมวลชนหลายสำนักคาดการณ์จำนวนคณะผู้เลือกตั้งไม่เท่ากัน เช่นกรณีรัฐแอริโซนา ที่สื่อหลายสำนัก เช่นเอพี และฟ็อกซ์นิวส์ ประกาศว่านายโจ ไบเดนได้รับชัยชนะแล้ว แต่สื่อบางสำนักเช่นซีเอ็นเอ็นและนิวยอร์กไทม์สประเมินว่า ยังไม่สามารถประกาศให้นายโจ ไบเดน ชนะรัฐแอริโซนาได้ คะแนนของนายโจ ไบเดนที่ปรากฎในสื่อจึงไม่เท่ากัน

4️⃣

การประเมินชัยชนะของสื่อมวลชนในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังต้องทำด้วยความระมัดระวังและรอบคอบที่สุดด้วย เพราะสื่อเคยมีบทเรียนมาแล้วในการเลือกตั้งเมื่อปี 2000 ระหว่างนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช และนายอัล กอร์ ที่ในตอนนั้นสื่ออเมริกันคาดการณ์ให้นายอัล กอร์ ชนะเลือกตั้งที่รัฐฟลอริดา ทำให้นายอัล กอร์เป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนต่อไป แต่ในท้ายที่สุดผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการกลับชี้ว่า นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช มีคะแนนมากกว่า มีสิทธิ์ได้คณะผู้เลือกตั้งในรัฐฟลอริดาไปทั้งหมด และเป็นผลให้นายบุชควรชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนั้น

การคาดการณ์ของสื่อที่ไม่ตรงกับคะแนนที่ออกมาทำให้การเลือกตั้งในครั้งนั้นยืดเยื้อ มีการนับคะแนนใหม่และยื่นเรื่องให้ศาลสูงสหรัฐฯ ตัดสินใจ จนในท้ายที่สุดศาลพิจารณาจากหลักฐาน ให้นายจอร์จ ดับเบิลยู บุชชนะเลือกตั้ง

ทั้งหมดนี้คือความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ และเป็นเหตุผลว่าทำไม ผลการนับคะแนนในการเลือกตั้งครั้งนี้ถึงออกมาช้า

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า