SHARE

คัดลอกแล้ว

“ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน แก่ประสบการณ์มากกว่า” ไม่ใช่ความจริงของจักรวาลอีกต่อไป เพราะทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีเข้ามาดิสรัปต์เขย่าทุกเซกเมนต์ของการทำงานให้แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง 

คนรุ่นก่อนที่มีความแหลมคมจากการเก็บเกี่ยวความรู้มาต่อยอด ก็อาจจะไล่ตามไม่ทัน ‘สิ่งใหม่’ เท่ากับคนรุ่นใหม่ก็ได้ ด้วยสถานการณ์ทั้งหมดที่ว่ามานี้ จึงทำให้เกิดแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า ‘Reverse Mentorship’ หรือการโค้ชชิ่ง ให้คำแนะนำแบบกลับด้าน

ที่เรียกว่า การให้คำแนะนำแบบกลับด้าน เพราะโดยปกติการสอนหรือให้คำแนะนำมักเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีความอาวุโสมากกว่า 

แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว แก่กว่า อายุมากกว่าไม่ได้การันตีว่าจะต้องรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งจริงๆ ‘Reverse Mentorship’ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ตามข้อมูลจาก BBC ยังระบุด้วยว่า เทคนิคดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 แล้ว

[ โลกเปลี่ยน คนเปลี่ยน วิธีคุยก็ต้องเปลี่ยน ]

จากเดิมที่คำแนะนำเป็นกระแสแบบ ‘บนลงล่าง’ แต่ Reverse Mentorship หมุนกลับ ทำให้คนรุ่นใหม่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำแนะนำให้กับคนทำงานระดับซีเนียร์ได้ 

โดยการให้คำปรึกษาแบบย้อนกลับจะใช้วิธีจับคู่พนักงานแบบข้ามรุ่นเพื่อส่งเสริมการไหลบ่าของข้อมูลจาก ‘ล่างขึ้นบน’ แต่ไม่ได้ตัดการให้คำแนะนำแบบ ‘บนลงล่าง’ หรือ ‘อายุมากไปอายุน้อย’ ออกไปอย่างเด็ดขาด ยังทำทั้งสองแนวทางควบคู่กันไปด้วย

แนวทางแบบ Reverse Mentorship จะทำให้คนทำงานที่มีอายุน้อยกว่า สามารถแบ่งปันทักษะ Skill Set ให้กับรุ่นพี่ได้คล่องตัวมากขึ้น โดยพื้นฐานคือ สองฝ่ายจะต้องเปิดใจรับข้อมูลซึ่งกันและกัน

ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า วิธี Reverse Mentorship จะช่วยให้คนทั้งสองเจนเข้าอกเข้าใจวิธีคิดของกันและกันมากขึ้น มีส่วนช่วยทลายกรอบระหว่างเจนที่เติบโตมาต่างกัน

นอกจากช่วยในเรื่อง ‘การเข้าถึงเทคโนโลยี’ แล้ว Reverse Mentorship ยังช่วยอุดช่องว่างของประเด็นละเอียดอ่อนอย่าง ‘ความต่างทางวัฒนธรรมการทำงาน’ ด้วย 

เพราะหลายปีที่ผ่านมามุมมองและการให้คุณค่าการทำงานของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การทำงานต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น การเข้าออฟฟิศทุกวันไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป และกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการโยกย้ายตำแหน่งงานของคนรุ่นใหม่

ทำให้ผู้บริหารไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับ ‘นโยบายในที่ทำงาน’ เพียงคนเดียวเหมือนเดิมได้อีกแล้ว การรับฟังซึ่งกันและกันจะทำให้คนทำงานระดับหัวหน้าและผู้บริหารใกล้ชิด เข้าอกเข้าใจมุมมองใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่มากขึ้น 

แล้วอีกแง่หนึ่งยังเป็นการแสดงให้คนทำงานระดับ Staff เห็นว่า คนทำงานระดับบนให้ความสำคัญกับเสียงของพวกเขาด้วย

[ แก้ปัญหา ‘คนลาออกบ่อย’ ด้วย ‘Reverse Mentorship’ ]

โควิด-19 เปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างในที่ทำงาน ตั้งแต่ปริมาณงาน จำนวนการประชุม รวมถึงนโยบายการเข้าทำงานในออฟฟิศ จนทำให้ ‘การลาออก’ กลายเป็นปัญหาสำคัญของหลายบริษัทในช่วงที่ผ่านมา

บางกรณีอย่างเช่นที่หลายบริษัทยังคงดำเนินมาตรการ ‘Work from home’ กันอยู่ และเป็นที่ชื่นชอบของพนักงาน โดยเฉพาะพนักงาน Gen Z ที่สนใจผลลัพธ์และประสิทธิผลของงาน มากกว่าความเทอะทะซับซ้อนของนโยบาย

ดังนั้น ‘Reverse Mentorship’ จะช่วยสะท้อนความคิดเห็นเล็กๆ ในรายละเอียดแบบนี้ของพนักงานไปถึงผู้บริหารมากขึ้น

จากงานวิจัยของ  Gallup บอกว่า คน Gen Y กว่า 1 ใน 5 เปลี่ยนงานบ่อยกว่าคนรุ่นอื่นๆ 3 เท่า ขณะที่ผลวิจัยจาก Deloitte ก็บอกว่า กว่าครึ่งของคน Gen Y และ Gen Z จะลาออกภายใน 5 ปี ถ้ารู้สึกว่า ความเห็นของตัวเองไม่ได้รับความสำคัญจากที่ทำงาน ทั้งในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ความเท่าเทียม และปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงานด้วย

ฉะนั้น วิธีการ ‘Reverse Mentorship’ จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับการออกแบบกระบวนการที่ดีจากบริษัท ที่ต้องเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อคนสองรุ่นเข้าด้วยกัน

นอกจากจะส่งผลดีกับบริษัทเองแล้ว ยังส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเจนเป็นไปอย่างราบรื่น การทำงานก็จะออกมาดียิ่งขึ้น สุขภาพจิตและการสื่อสารก็จะช่วยให้คนทำงานรู้สึกดีตามไปด้วย

[ ถอยหลังไปฟัง ‘Boomers’ แบบไม่ต้องหยุมหัว ]

นอกจากคนรุ่นเก่าจะต้องปรับตัวด้วยการโน้มลงมาหากันแล้ว คนรุ่นใหม่เองก็ต้องเปิดกับความคิดเห็นอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน 

จิม เบอร์รี (Jime Berry) ผู้อำนวยการหลักสูตร MBA ที่ University College London ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้ควรเป็นเหมือนกับ ‘ถนนสองทาง’ ให้ข้อมูลของคนทั้งสองฝั่งไหลเวียนมาบรรจบกัน ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน มองความหลากหลายให้เป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดในการทำงานไม่ว่าจะคนยุคไหน สมัยไหนก็ตาม ทั้งหมดนี้จะทำให้ออฟฟิศมีความเฮลตี้มากขึ้น ไม่สาดความเป็นพิษซึ่งกันและกัน ไม่ต้องทำงานไปหยุมหัวกันไปนั่นเอง

ที่มา

https://www.bbc.com/worklife/article/20221110-reverse-mentorship-how-young-workers-are-teaching-bosses

https://www.bbc.com/worklife/article/20210604-why-presenteeism-always-wins-out-over-productivity

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า