Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ดึงพลังชุมชนท้องถิ่นร่วมส่งเสริม-ป้องกันปัญหาสุขภาพจิตคนไทย หวังลดอัตราฆ่าตัวตายพุ่ง คาด 10 ปี สูญเสียแซงโรคไม่ติดต่อ

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) จัดเวทีโต๊ะกลมเสวนาออนไลน์ “พลังชุมชนท้องถิ่นร่วมส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตคนไทย” เพื่อกระตุกสังคมไทยให้ความสำคัญและร่วมแก้ไขปัญหาการฆ่าตัวตายโดยเริ่มจากตัวเอง เนื่องในวัน “วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลก” (World Suicide Prevention Day) 10 กันยายน หลังพบอัตราการฆ่าตัวตายของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์โควิด ด้านแพทย์ระบุอีก 10 ปี ปัญหาสุขภาพจิตแซงหน้าโรคไม่ติดต่อทั้งหมด สร้างความสูญเสียขึ้นเป็นอันดับ 1  พร้อมชู อบต.ผักไหม จ.ศรีสะเกษ ชุมชนต้นแบบการส่งเสริมสุขภาพจิต โดยได้รับเกียรติจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และภาคีเครือข่าย อาทิ สมาคมวิถีทางเลือกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ร่วมวงเสวนา

นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ สสส. กล่าวว่า สสส.ได้เร่งเสริมความพร้อมและขับเคลื่อนการทำงานด้านการพัฒนาสุขภาพจิตในระดับพื้นที่กับหลายหน่วยงาน เช่น กับ มสช.ภายใต้ โครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของชุมชนท้องถิ่นในสถานการณ์วิกฤตและตลอดช่วงชีวิต นำร่องใน 10 พื้นที่ทั่วประเทศ และผ่านนวัตกรรมแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Dmind ระบบปัญญาประดิษฐ์คัดกรองภาวะซึมเศร้า ที่คนในชุมชนสามารถคลิกเข้าไปประเมินตัวเองได้ง่าย ๆ ได้ผลแม่นยำ เพื่อทดแทนความต้องการการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตในกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยรวมถึงกลุ่มเปราะบาง เมื่อจำนวนบุคลากรด้านสุขภาพจิตที่มีอยู่ไม่สมดุลกัน

“การใช้เซฟการ์ดฝั่งชุมชนในการช่วยมอนิเตอร์ผู้ป่วยจิตเวชเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะทุกชุมชนที่ได้เข้าไปสนับสนุนเขามีต้นทุนในการจัดการปัญหาด้านสุขภาพจิตในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งวงเสวนาครั้งนี้ได้นำตัวอย่างบทเรียนส่งเสริมสุขภาพจิตระดับชุมชนที่ สามารถบริหารจัดการปัญหาได้อย่างความเข้มแข็ง ส่วนตัวมองว่าปัญหาสุขภาพจิตในพื้นที่ไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนสามารถทำได้ เพราะสุดท้ายแล้วพลังชุมชนท้องถิ่นคือการดูแลจัดการกันเอง” ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ สสส. ให้ความคิดเห็น

ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวถึงสถานการณ์การฆ่าตัวตายในประเทศไทยในปัจจุบันว่า สถานการณ์การฆ่าตัวตายทั่วโลกมีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัญหาสุขภาพจิตมีปริมาณมากขึ้น และคาดการณ์ว่า 10 ปีข้างหน้า สุขภาพจิตจะกลายเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่ทำให้เกิดการสูญเสียเป็นอันดับ 1 ของโรคไม่ติดต่อทั้งหมด ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น 500-1,000 คนต่อปี ในปี 2564 มีคนฆ่าตัวตายถึง 5,000 ราย และพบว่าอันดับ 1 หรือร้อยละ 50  ที่ทำให้คนฆ่าตัวตายคือปัญหาด้านความสัมพันธ์ ปัญหาในเรื่องสุขภาพกายมาเป็นอันดับ 2 หรือร้อยละ 20-30  อันดับ 3 คือปัญหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันดับ 4 คือปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งอันดับ 3 และ 4 จะสลับกันขึ้นลง ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้คนฆ่าตัวตายไม่ได้เกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่ร้อยละ 90 มี 2 สาเหตุร่วม โดยมีปัญหาด้านความสัมพันธ์เป็นปัจจัยหลักเสมอ

ดร.นพ.วรตม์ กล่าวต่ออีกว่า ปัญหาสุขภาพจิตมีแนวโน้มมากขึ้น แต่บุคลากรด้านสุขภาพจิตกลับเป็นสาขาที่มีจำนวนจำกัด จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นในประเทศไทยมีไม่ถึง 200 คน จิตแพทย์มี 1,000 กว่าคน นักจิตวิทยาอีก 1,000 กว่าคน ซึ่งการจะเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอต้องใช้เวลาถึง 5-10 ปี

“การทำงานแบบดั้งเดิมที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาลอาจไม่ตอบโจทย์ ปัญหาสุขภาพจิตจึงเป็นเรื่องของทุกคน  กรมสุขภาพจิต สธ. จึงหันมาร่วมมือกับองค์กรภายนอก เช่น ทำงานสุขภาพจิตร่วมกับ อสม.ที่มีอยู่ 1 ล้านคนทั่วประเทศ ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ การทำงานร่วมกับ สสส. มสช. และภาคีเครือข่าย ในการฝึกให้ทุกคนในชุมชนเป็นบุคลากรด้านสุขภาพจิต และเริ่มทำงานตั้งแต่ระดับครอบครัวให้สามารถสังเกตอาการโรคพื้นฐาน เช่น โรคซึมเศร้า สัญญาณการฆ่าตัวตาย มีทักษะการรับฟัง การให้กำลังเชิงบวก ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โครงการ HOPE Task Force หรือทีมปฏิบัติการพิเศษป้องกันการฆ่าตัวตาย ที่กรมสุขภาพจิตร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ช่วยชีวิตผู้ที่ต้องการฆ่าตัวตายให้รอดชีวิตได้กว่า 400 คน ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการวัดการช่วยเหลือให้คนไม่ฆ่าตัวตาย แต่เมื่อเทียบกับอัตราการฆ่าตัวตายที่ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ การส่งเสริมและป้องกันเป็นหน้าที่ทุกคน ดังนั้นการสร้างความร่วมมือในระดับชุมชนจึงเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน” โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าว

นางจันทรา หาญสุทธิชัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลผักไหม อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ  กล่าวว่า แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยจิตเวชใน ต.ผักไหม จะมีไม่มากประมาณ 20 กว่าคน ต่อประชากร 7,160 คน โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยจิตเวชที่แพทย์วินิจฉัยและญาติเห็นด้วย 7-8 คน และที่แพทย์วินิจฉัยแต่ตัวผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยไม่ยอมรับ 10 กว่าคน แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีชาวบ้านฆ่าตัวตายในปี 2562 และ 2564 รวม 2 คน ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคจิตเวชแต่ไม่แสดงอาการ  เป็นจุดที่ทาง อบต.ผักไหมหันมาให้ความสำคัญและทำงานเชิงรุกมากกว่าเดิม ผ่านการร่วมมือกับภาคีทุกภาคส่วนในตำบล

“เราไม่เคยคาดคิดว่าคนปกติธรรมดาอยู่ ๆ จะลุกขึ้นมาฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นวัยแรงงานในชุมชน และภายนอกดูเป็นคนอัธยาศัยดีมีน้ำใจ แต่พอทราบสาเหตุการฆ่าตัวตายว่ามาจากความน้อยเนื้อต่ำใจในครอบครัว ก็ทำให้เราคิดว่าการบวกปัญหาจิตเวชเข้าไปในกลุ่มเปราะบางที่ต้องดูแลตั้งแต่ปี 2560 นั้นไม่เพียงพอ ทำให้การทำงานของเราและชุมชนเปลี่ยนเป็นเชิงรุกและอาศัยความร่วมมือสูง โดยดึงเรื่องเข้าเวทีประชาคมตำบลกับคณะกรรมการ สปสช.ระดับตำบล ให้เพิ่มเรื่องจิตเวชเข้าไปแม้จะไม่มีค่าตอบแทนให้ และเรียกทีม Long Term Care อสม. สภาผู้นำชุมชน รพ.สต.ในพื้นที่ กระทั่งเจ้าหน้าที่ อบต.ทุกคนที่ส่วนมากเป็นคนในพื้นที่ เข้ามาสแกน เสริมกำลัง ดูแลคนและพื้นที่ที่มีความเสี่ยงทั้งหมดในแบบรายหมู่บ้าน มีการเก็บฐานข้อมูลที่ละเอียดแม่นยำ รวมถึงเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เพิ่มเติม ยิ่งได้ มสช. และ สสส. เข้ามาช่วยกระตุ้นเมื่อปี 2564 จนถึงปี 2565 ก็ยิ่งทำให้ชุมชนหันมาใส่ใจเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง จากเดิมที่มองเป็นปัญหาธรรมดาก็กลายเป็นเข้าใจสาเหตุ รู้ปัญหา รู้โทษ และใส่ใจปัญหาสุขภาพจิต” นายก อบต.ผักไหม อธิบายเพิ่ม

นางอรพิน วิมลภูษิต เลขาธิการสมาคมวิถีทางเลือกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า ตัวเลขจากกรมสุขภาพจิตระบุว่าช่วงวัยที่ฆ่าตัวตายสำเร็จมากที่สุดร้อยละ 74 คือวัยแรงงานอายุ 25-59 ปี ขณะที่สถานการณ์โควิดทำให้แรงงานกลุ่มเปราะบางที่มีรายได้ปานกลางถูกเลิกจ้างถึง 1.4-1.7 ล้านคน หรือร้อยละ 62 ของแรงงานทั้งประเทศ กลุ่มวัยแรงงานจึงกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงฆ่าตัวตายขนาดใหญ่ที่รัฐและสังคมควรจับตามองและให้ความสำคัญ และผลักดันเพิ่มองค์ความรู้หรือระบบปฏิบัติการที่ช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพการเงินให้กับกลุ่มแรงงานในประเทศไทย ในรูปแบบนโยบายหรือยุทธศาสตร์ระดับประเทศที่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาร่วมมือกัน โดยอาจผนวกไปกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ทุกวันนี้รักษาแค่เพียงสุขภาพกาย

ด้าน นายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการโครงการฯ มสช. ในฐานะ ผู้จัดการโครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของชุมชนท้องถิ่นในสถานการณ์วิกฤตและตลอดช่วงชีวิต กล่าวว่า ทางโครงการฯ เน้นพัฒนากลไกการเฝ้าระวังและกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพจิต เพื่อลดและป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายในวัยแรงงานในชุมชน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ รวมถึงผู้สูงวัย ผู้ป่วยติดเตียง และกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ มุ่งเป้าสร้างแกนนำการส่งเสริมสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น เสริมองค์ความรู้ไปปรับประยุกต์เพื่อผลิตเป็นเครื่องมือเสริมการทำงานให้แข็งแกร่ง เข้าถึงได้ง่าย เกิดพื้นที่ต้นแบบนำไปสู่การขับเคลื่อนงานเชิงนโยบายสาธารณะ เพื่อส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินงานแล้วในหลายพื้นที่ ได้แก่ อบต.วังสะพุง อ.วังสะพุง จ.เลย อบต.วังกรด อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร รพ.สต.บ้านคลองเหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม

 

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า