SHARE

คัดลอกแล้ว

ศาลปกครองพิพากษา เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ให้ ‘ยิ่งลักษณ์’ ชดใช้ค่าเสียหายทุจริตจำนำข้าว ชี้ไม่อาจรับฟังได้ว่าเพิกเฉย ละเลย ละเว้นให้เกิดความเสียหาย และไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่ามีส่วนร่วมโดยตรง

วันที่ 2 เม.ย. 2564 ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในคดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และนายอนุสรณ์  อมรฉัตร ผู้ฟ้องคดีที่ 2 ยื่นฟ้อง นายกรัฐมนตรี รมว.การคลัง รมช.คลัง ปลัดกระทรวงการคลัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-9 ซึ่งศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคดีทั้ง 4 คดีเข้าด้วยกัน โดยผู้ฟ้องคดีทั้ง 2 ฟ้องว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-9 มีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 เรียกให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท ให้แก่กระทรวงการคลัง กรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่ และคำสั่งที่ให้ทำการยึด อายัดทรัพย์สินของน.ส.ยิ่งลักษณ์เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด พร้อมทั้งมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 และ 6 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากคำสั่งดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 50 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย ให้แก่น.ส.ยิ่งลักษณ์

ศาลปกครองพิจารณาว่า คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยรวม 4 ประเด็น โดยประเด็นที่ 1 คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยศาลเห็นว่า การดำเนินการตามนโยบายจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและในฐานะประธาน กขช. ต้องดำเนินการตามมติครม. ตามนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ลำพังน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีอำนาจยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวได้ โดยในการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์มีอำนาจหน้าที่เพียงกำกับดูแลนโยบายโดยทั่วไป ระดับมหภาคของโครงการรับจำนำข้าว มิได้มีอำนาจหน้าที่ในการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ไม่อาจที่จะรับรู้รับทราบข้อมูลการปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อแสวงหาประโยชน์ของผู้กระทำผิดในระดับปฏิบัติ อีกทั้งเมื่อมีการกระทำการทุจริตเกิดขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้มีคำสั่งคณะกรรมการด้านนโยบายข้าว แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อมูลปริมาณข้าวคงเหลือ โดยมีการใช้มาตรการทางอาญากับผู้ทุจริตหรือผู้กระทำผิดควบคู่กับการใช้มาตรการตัดสิทธิผู้สวมสิทธิเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว จึงถือได้ว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ มิได้เพิกเฉยละเลย แต่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยและพฤติการณ์เพื่อป้องกันยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวแล้ว อีกทั้งเมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับหนังสือแจ้งจาก สตง. และสำนักงาน ป.ป.ช. ก็ได้สั่งการตามอำนาจหน้าที่ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาป้องกันดูแลการทุจริต จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลย ไม่ติดตามหรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานผลการตรวจสอบ

การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเห็นว่า มีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคนในมูลละเมิดกรณีโครงการรับจำนำข้าว ย่อมจะต้องดำเนินการสอบสวนหาตัวผู้รับผิด และจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องอีกหลายคนต้องชดใช้ แล้วจึงนำจำนวนเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ต้องรับผิดมากำหนดสัดส่วนความรับผิดของแต่ละคน มิใช่พิจารณาเพียงเสนอความเห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ผู้เดียวเป็นผู้กระทำ โดยจงใจปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการ อีกทั้งปรากฏในคำให้การของกระทรวงการคลัง ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า ไม่มีหลักฐานแน่ชัดในชั้นการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้สั่งการทำให้เกิดความเสียหายหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในการกระทำละเมิด ซึ่งการกำหนดสัดส่วนให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับผิดร้อยละ 20 ของมูลค่าความเสียหาย เป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท จึงมิได้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ประกอบกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และไม่เป็นไปตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค 0406.2/ว 66 ลงวันที่ 25 ก.ย. 2550 ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง มีคำสั่งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คิดเป็นเงิน  35,717,273,028.23 บาท จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ประเด็นที่ 2 สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการคลัง ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อันเกิดจากคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าวหรือไม่ และเป็นจำนวนเท่าใด ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เป็นการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ประกอบกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และไม่ปรากฏว่ามีเจตนากลั่นแกล้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องรับผิด จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดที่สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการคลังจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ส่วนประเด็นที่ 3 คำสั่งให้ทำการยึด อายัดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าวนั้น เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และประเด็นที่ 4 คำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวม เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่า คำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้น กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 จึงไม่มีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด และไม่มีอำนาจที่จะใช้มาตรการบังคับทางปกครองดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินที่นายอนุสรณ์อ้างว่าตนมีกรรมสิทธิ์รวมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด โดยมีมูลเหตุมาจากคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลปกครองจึงมีคำสั่งพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559  ที่เรียกให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใดๆ ของ กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร 6 ในการยึด อายัดทรัพย์สินเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าว และเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ยกคำร้องขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมของนายอนุสรณ์  อมรฉัตร ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ด้านนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ผลการพิพากษาในวันนี้เป็นคุณกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ส่วนหากกระทรวงการคลังยื่นอุทธรณ์จะดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น เราต้องเตรียมความพร้อม เพราะเป็นเพียงคำพิพากษาของศาลปกครอง แต่สิ่งที่สำคัญจากคำพิพากษาในวันนี้ นอกจากการเพิกถอนคำสั่งที่ให้ชดใช้เงิน ยึด และอายัดเงินแล้วนั้นคือ ในคำพิพากษาระบุว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มีส่วนในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ทั้งนี้ จะนำคำพิพากษาไปศึกษาอย่างละเอียดเพื่อการต่อสู้ต่อไป

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า