HUBBA เป็นธุรกิจ Co-Working Space สายเลือดไทยที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของบ้านเรา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งคือคุณ ชาล เจริญพันธ์ ซึ่งถือว่าเป็น 1 ในบุคคลที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวง Start Up ของเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงเท่านั้นทั้ง HUBBA และคุณชาลเองยังมีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพเมืองไทยให้เติบโตยิ่งขึ้นในบทบาทของการเป็น Incubator หรือผู้ที่จะเข้ามาช่วยบ่มเพาะสตาร์ทอัพหน้าใหม่ในระยะเริ่มต้น การพัฒนาโมเดลธุรกิจ การเชื่อมต่อพาทเนอร์และนักลงทุนต่างๆ
องค์กรและคนทำงาน กับเทรนด์ที่เปลี่ยนไปหลังวิกฤต
ชาล เจริญพันธ์ : จากที่ได้พูดคุยกับพาทเนอร์ที่อยู่ในหลากหลายองค์กร พวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นไปได้ยากที่จะทำงานแบบ Work From Home 100% น่าจะต้องมีงานบางส่วนที่ต้องเข้าออฟฟิศอยู่ดี รวมถึงพนักงานเองก็ไม่ได้อยากที่จะ Work From Home 100% เช่นกัน โดยเฉพาะการสร้าง Team Building จะสร้างทีมอย่างไรถ้าไม่ได้เจอกันเลย
เทรนด์นี้จะสร้างโอกาสอะไรให้กับธุรกิจ Co-Working Space
ชาล เจริญพันธ์ : มันมีหลายปัจจัยที่เทรนด์นี้จะช่วยให้ธุรกิจ Co-Working Space เติบโต
ปัจจัยแรกคือ คนทำงานแม้ว่าจะไม่ได้เข้าออฟฟิศ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะอยากอยู่บ้าน เขาอยากหาแรงบันดาลใจนอกบ้าน ซึ่งเป็นโอกาสของ Co-Working Space ที่ต้องสร้างบรรยากาศให้คนรู้สึก Productive เมื่อมานั่งทำงาน
ปัจจัยที่สองคือ องค์กรใหญ่ๆเองเริ่มมีมุมมองของการมีออฟฟิศตัวเองที่เปลี่ยนไป เช่น ออฟฟิศต้องสวยเป็นหน้าเป็นตาได้ เดี๋ยวนี้คือน้อยลงเพราะต้องการความหยืดหยุ่นมากขึ้น ลดต้นทุน ลดพื้นที่เช่าออฟฟิศ การซ่อมบำรุง จึงโยกบางหน่วยงานไปทำงานที่ Co-Working Space แทน
ปัจจัยที่สุดท้ายคือ การใช้งาน Co-Working Space จะไม่เหมือนต่างคนต่างมานั่งทำงานแล้ว แต่คนจะมาใช้มีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าต้องการมาใช้พื้นที่ร่วมกันทำอะไรสักอย่าง เช่น การประชุม, Town Hall, Team Building หรือแม้แต่กลุ่มที่ต้องการมาใช้พื้นที่สำหรับการทำงานสร้างสรรค์อย่าง Podcast, ไลฟ์ขายสินค้า, จัดคลาสออนไลน์ต่างๆ เรามองว่านี้เป็นโอกาส
เทรนด์ Workation เที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วยจะเป็นโอกาสของธุรกิจอื่นๆอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม
ชาล เจริญพันธ์ : อยากเล่าให้ฟังถึงเมือง Medina ในเม็กซิโก เกินครึ่งของประชากรตอนนี้เป็นชาวต่างชาติหมดเลย จนไม่เรียกว่าเป็นการมาของนักท่องเที่ยวแล้ว แต่เรียกว่า Invasion of Digital Nomad คือเหมือนมาบุกยึดเมือง มันเกิดขึ้นเพราะหลังจากที่สหรัฐอเมริกาเริ่มฉีดวัคซีนกันครบแล้ว คนก็มองหาที่ๆเปิดรับและใกล้ที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าวันที่ประเทศไทยเปิดประเทศเนี่ย ก็จะเป็น Invasion ของ Digital Nomad เหมือนกัน ธุรกิจ Co-Working Space หรือโรงแรม ก็จะได้ประโยชน์ซึ่งต้องเริ่มดีไซน์เซอร์วิสใหม่ให้เหมาะกับคนกลุ่ม Digital Nomad เขาไม่ได้มองหาโรงแรมหรือเกสเฮ้าส์ แต่เขาต้องการสังคม ก็ต้องดีไซน์ให้เขาเข้ามาอยู่ร่วมกันได้เป็นเหมือน Co-Living Space
ชาล เจริญพันธ์ : เราก็มีแผนที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจโรงแรมในการที่จะเปลี่ยนพื้นที่ของเขาเป็น Co-Working Space เพราะจริงๆพื้นที่ของโรงแรมพร้อมทุกอย่าง ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องทานอาหาร และอยากให้รีบศึกษาเทรนด์ Digital Nomad เพราะประเทศไทยเป็น Top Destination ของโลกมาโดยตลอด ไปดูได้ที่ nomadlist.com โดยเฉพาะ 3 จังหวัดคือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ถ้าเขาจะเลือกมาประเทศไหน แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นประเทศไทย 20-30 เปอร์เซ็นท์ ขอเพียงประเทศเปิดเราจะกลับมา