เรอัล มาดริดลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์ UCL 3 ปีซ้อน

เรอัล มาดริดแชมป์ยุโรป 12 สมัย ลุ้นสร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ยูเอฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัยติดเป็นทีมแรก

จากเกมยูเอฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศเมื่อช่วงเช้าวันใหม่ที่ผ่านมา (เวลาตี 1.45ของวันนี้) เรอัล มาดริด เปิดสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว ต้อนรับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค โดยโลส บลังโกสของกุนซือ ซีเนดีน ซีดาน กุมความได้เปรียบจากเลกแรกที่พวกเขาบุกไปชนะบาเยิร์น มิวนิคของเทรนเนอร์ขลัวเฒ่าจุ๊ปป์ ไฮน์เกสถึงถิ่น อัลลิอันซ์ อารีน่า 1-2 โดยเกมเมื่อคืนที่ผ่านมาราชันชุดขาวสามารถยันเสมอเสือใต้ที่สกอร์ 2-2 สกอร์รวม 2 เลกคือ 4-3 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

หลังจบเกม สเวน อูลไรช์ นั่งเสียใจอยู่กลางสนาม ขณะที่ผู้เล่นของทั้ง 2 ทีม เข้าห้องแต่งตัวไปแล้ว

การผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของขุนพลโลส บลังโกสของกุนซือ ซีเนดีน ซีดาน ในครั้งนี้ นับเป็นการทาบสถิติการเข้าชิงUCL 3 ปีติดของ ทัพ “เบียงโคเนรี่” ยูเวนตุสในยุคบรมกุนซือของวงการฟุตบอลอิตาลีอย่าง มาเซลโล่ ลิปปี้ ที่เคยทำไว้ (1995-96, 1996-97, 1997-98) และถ้าเรอัล มาดริดสามารถคว้าแชมป์ในปีนี้สำเร็จ พวกเขาจะเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์ยุโรป(ในชื่อยูเอฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก) ได้ 3 ปีติดต่อกัน โดยทีมสุดท้ายที่สามารถคว้าแชมป์ 3 ปีติดได้คือ บาเยิร์น มิวนิค (ยูโรเปี้ยนส์คัพเดิม) ที่ทำไว้ในปี 1973-74, 1974-75, 1975-76

ซีเนดีน ซีดาน พาเรอัล มาดริดเข้าชิง UCL เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน

มีโอกาสมากมั้ยที่มาดริดจะคว้าแชมป์ในปีนี้ ?

แน่นอนว่าเรอัล มาดริด คือราชาผู้เจนสนามนัดชิงแชมป์ยุโรปตัวจริง โดยโลส บลังโกสเข้าชิงรายการนี้มาแล้วถึง 16 ครั้ง และคว้าแชมป์มาได้ถึง 12 ครั้งด้วยกัน ประสบการณ์และความเขี่ยวคงไม่ต้องพูดกันให้มากความ และหากใครที่ได้ดูเกมรองรองชนะเลิศระหว่างบาเยิร์น มิวนิคกับเรอัล มาดริดทั้งสองนัดที่ผ่านมา ก็เห็นแล้วว่ามันเป็นเกมระดับ 5 ดาวอย่างแท้จริง มันเป็นการต่อสู้กันของสองทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรป ซึ่งบาเยิร์น มิวนิคก็เป็นทีมที่มีประวัติศาสตรไม่ธรรมดาเช่นกันในถ้วยบิ๊กเอียร์ พวกเขาคือแชมป์ 5 สมัย และเป็นหนึ่งใน 3 ทีมที่เข้าชิงแชมป์ยูโรปถึง 10 ครั้งขึ้นไป (เรอัล มาดริด 16 ครั้ง, เอซี มิลาน 11 ครั้ง และบาเยิร์น มิวนิค 10 ครั้ง )

สถิติต่างๆ ในการพบกันของบาเยิร์นกับมาดริด รวม 2 เลก บันทึกโดย opta

เราจะเห็นได้ว่าบาเยิร์นเล่นได้เหนือกว่ามาดริดมาก ทัพเสือใต้ครองบอลได้มากกว่า, สร้างโอกาสยิงได้เยอะกว่า, จ่ายบอลได้มากกว่า แต่สิ่งที่ทำให้มาดริดชนะบาเยิร์น มิวนิคนั้นคือการฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของผู้เล่นบาเยิร์น

บาเยิร์นต้องเสียประตูจากความผิดพลาดส่วนบุคคล ในเลกแรกก็เป็นทางราฟินญ่าแบ็คซ้ายของเสือใต้ที่จ่ายบอลพลาดจนโดนมาร์โก้ อเซนซิโอ ฉกบอลทำชิ่งให้ คาเซมิโร ก่อนคืนมาที่ อเซนซิโอ ได้หลุดไปยิงง่ายๆ เป็นประตูชัยของมาดริด และนัดล่าสุดก็เป็นทางสเวน อูลไรช์ ผู้รักษาประตูมือสองของทีมที่ปู่จุ๊ปป์ไว้ใจในการทำหน้าที่แทนนอยเออร์ที่บาดเจ็บมาโดยตลอด จนมีฟอร์มที่น่าพึงพอใจในช่วงหลัง กลับผิดพลาดในการออกมารับบอล แน่นอนว่ามันเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่มันเป็นจุดที่ทำให้เสือใต้ต้องเสียประตูที่ 2 ในเกมนี้ในช่วงต้นครึ่งหลัง

ปู่ จุ๊ปป์ ไฮน์เกส กุนซือระดับตำนานของบาเยิร์น มิวนิค

บทเรียนที่หลายๆทีมต้องจดจำในการเล่นเรอัล มาดริดคือ คุณจะต้องเล่นให้ดีที่สุดจนกว่าผู้ตัดสินจะเป่านกหวีดหมดเวลาและต้องเล่นให้ผิดพลาดน้อยที่สุด เพราะทีมอย่างมาดริดพร้อมที่จะลงโทษคุณได้ตลอดเวลา ยูเวนตุสและบาเยิร์น มิวนิค คือตัวอย่างที่ดีที่บอกเราได้ว่าทำไมเรอัล มาดริดถึงก้าวไปเป็นแชมป์ยุโรปได้มากกว่าทีมใดๆในยุโรป

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล หนึ่งตัวเต็งที่จะเข้าไปเจอกับเรอัล มาดริดในรอบชิง UCL ปีนี้

และหากดูจากอีกหนึ่งคู่ที่จะลงเตะในคืนนี้เวลาตี 1.45 แน่นอนว่าลิเวอร์พูลก็มีโอกาสสูงที่จะได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับเรอัล มาดริดที่กรุงเคียฟ ในนาทีนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าลูกทีมของเยอร์เก้น คล็อปป์มีเกมรุกและเกมเพลสซิ่งดีอันดับต้นๆของยุโรป เราได้เห็นพวกเขาทุบแมนเชสเตอร์ ซิตี ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าแบบไปกลับมาแล้ว และเกมรอบรองชนะเลิศ เลกแรกพวกเขาก็ถลุง “หมาป่าแห่งกรุงโรม” โรม่า อย่างเหนือชั้นด้วยสกอร์ 5-2 หากเกมคืนนี้หากไม่มีอะไรพลิกโผหรืออุบัติเกมลูกหนังอะไร ลิเวอร์พูลอาจจะเป็นทีมที่ได้เข้าไปเผชิญหน้ากับเรอัล มาดริด ที่เคียฟปลายเดือนนี้