Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

การ ‘ลาออก’ เพื่อเปลี่ยนงานสำหรับคนสมัยนี้ ไม่ว่าจะเจเนอเรชันไหนก็นับว่าเป็นเรื่องปกติมากแล้ว จริงไหมครับ

การที่จะบอกให้ใครสักคนรักงาน ไม่ลาออก ไม่เปลี่ยนงาน อยู่กันยาวๆ แบบชั่วฟ้าดินสลายนั้น ดูเป็นเรื่องที่ร้องขอกันมากเกินไป เพราะปัจจัยทั้งภายนอกภายใน มันก็มีทั้งผลักให้เราอยากลาออก และดึงให้เราหนีไปอยู่เสมอ

เหมือนที่ภาษาฝรั่งเราเรียกกันว่า Push and Pull factors

Push factors คือ ปัจจัยจากภายในที่ผลักให้คนลาออก เช่น หัวหน้างานห่วย เงินเดือนที่น้อย เพื่อนร่วมงานแทงข้างหลัง

Pull factors คือ ปัจจัยจากภายนอกที่พยายามมาดึงยั่วยวนให้เราเดินออกไป ลาออกไปจากที่เก่า เช่น ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม ค่าตอบแทนที่สูงกว่าเดิม

แต่ครั้งนี้ ผมจะมาชวนพิจารณาดูเฉพาะปัจจัยภายใน หรือ Push factors ก่อนครับ ว่าเมื่อไร หรือสถานการณ์ไหนที่คุณเจอแล้วควรบอกตัวเองว่าควร “ลาออก” หรือ “หนีไป”

อย่างแรกเลยครับ ดูที่เนื้องานของคุณที่กำลังทำอยู่ก่อนเลย เช่น ถ้าดูทรงแล้ว จับฉ่ายไปหมด ไม่รู้ว่าวัดความสำเร็จยังไง ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และเมื่อคุณถามตัวคุณเองว่า ฉันกำลังทำบทบาทอะไร ส่วนไหนให้องค์กร แล้วคุณพบว่าคุณตอบอะไรไม่ได้ หาแก่นสารของงานไม่เจอ และมันไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น อันนี้ แนะนำครับว่า “หนีไป”

และต่อมา ถ้าเนื้องานของคุณเป็นเนื้องานที่สามารถทดแทนได้ง่ายด้วยเทคโนโลยีแน่ๆ เช่น เป็นงานเอกสารที่ทำซ้ำๆ มองๆ ไปแล้วเผลอๆ เครื่องถ่ายเอกสารก็สามารถมาทำงานแทนคุณได้ อันนี้น่ากลัวครับ

AI มันมาแรงมากตอนนี้ และมันมีหลายทักษะมันที่ดีกว่าเราแล้ว ดังนั้น จงเร่งพัฒนาตนเอง แล้ว “หนีไป” และ “หนีตาย” จากงานนั้นๆ

หัวหน้างานของคุณไม่โอ และดูแล้วไม่มีทางจะโอ หัวหน้างานคือหัวใจของการจะอยู่จะไป หรือการ ‘ลาออก’ ของคนทำงานเลยครับ อันนี้เราต้องยอมรับจริงๆ เพราะถ้าหัวหน้างานดี มี people skills ลูกน้องก็มักจะอยู่รอด ปลอดภัย และเติบโต

แต่ถ้าเจอคนที่ไม่ค่อยโอ ก็ต้องทำใจ และเตรียมใจ

แต่คุณก็ต้องเช็กตัวเองเหมือนกันครับว่าจริงๆ แล้ว จากท้องเรื่องทั้งหมดไม่โอที่หัวหน้างาน หรือจริงๆ แล้ว ตัวคุณนั่นแหละที่ไม่โอ และกำลังทำตัวเรื่องเยอะ หลายสิ่ง หรือกำลังเล่นบทเหยื่อ

อีกมุมนึงก็ต้องยอมรับอีกว่า คนเราไม่มีใครดีเลิศแบบที่ไม่มีที่ติได้หรอก ต้องลองคิดดูดีๆ ว่าอะไรที่ไม่โอเค มันไม่โอเคระดับไหน มันมีส่วนอื่นดีด้านอื่นๆ มาทดแทนชดเชยได้ไหม หรือจริงๆ แล้วเรื่องไม่ดีนั้นมันเป็นส่วนน้อย หรือส่วนใหญ่จากภาพรวมทั้งหมด

แต่ถ้าคุณกำลังเจออาการต่อไปนี้ “ลาออก” ไปเถอะครับ

หัวหน้ามีพฤติกรรมทุจริต หรือส่อทุจริต โดยคุณอาจจะต้องเข้าปิ้ง (ติดคุก) ไปด้วย หรือหัวหน้าของคุณมีพฤติกรรมส่อไปในเชิงการผิดศีลธรรมและจรรยาบรรณในการทำงาน เช่น ชู้สาว หรือเอางานคุณไปเคลมเป็นผลงานตัวเองหรือคนอื่นโดยไม่ให้เครดิต หรือไม่ได้ช่วยให้คุณพัฒนาตนเอง ไม่มีความก้าวหน้าในงาน และไม่สอนงานเลย

แต่…ถ้ายังลาออกไม่ได้ ก็หาทางย้ายแผนกก็ยังดีครับ

ต่อมา อนาคตขององค์กร ดูแล้วไม่น่าจะไปต่อไหว ในส่วนนี้แนะนำว่าเริ่มจากการดูผลประกอบการก่อนเลยครับ ว่าที่ผ่านมาเป็นยังไง องค์กรดำเนินธุรกิจมาอย่างไร

และหากมีปัญหา ผู้นำตั้งใจจะแก้ปัญหาอย่างไร มีความโปร่งใสหรือไม่ทั้งกับพนักงานและบุคคลภายนอก เช่น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจ

ไม่ได้จะบอกว่า ถ้าองค์กรกำลังแย่แล้วเราต้องทิ้งเขาทันทีนะครับ เพราะจริงๆ ทุกองค์กรมีทั้งขาขึ้นและขาลง สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราดูที่ว่าทิศทางขององค์กรไปในทางไหน ถ้าปีที่แล้วมันเคยแย่ บริษัทมีทางแก้อย่างไร และกำลังทำอย่างไรให้มันดีขึ้น

แต่ถ้าออกแนวว่า ปล่อยเบลอ ไม่ลงมือทำอะไร หรือมุ่งไปต่อทางเดิมที่เคยเดินหลงทางมา อันนี้ก็เสนอว่า เริ่มๆ เก็บของเข้าลังเถอะครับ วันละชิ้นสองชิ้น เพราะนั่นแสดงว่าองค์กรนี้ไม่ใช่แต่จะไม่เก่ง แต่คือไม่เรียนรู้เลย

อย่างสุดท้าย คือ คุณทำงานไปแล้ว คุณเองไม่มีความสุขเลย และมันเริ่มกัดกินสุขภาพกายและ ใจของคุณ เช่น บางรายเครียดจน Burnout เป็นโรคซึมเศร้า ไม่มีเวลาให้ตนเองและครอบครัวเลย จนเกิดความพังทลายในชีวิต อันนี้เชื่อเถอะครับว่าต้อง “หนีไป”

แต่ต้องไม่ลืมนะครับว่า สิ่งสำคัญคือเราต้องเช็กตนเองก่อนเช่นกันว่าจริงๆ เป็นที่องค์กรหรือเป็นที่เรา บางคนมีแนวโน้มที่จะเกิดความเจ็บป่วยทั้งทางกายและใจได้ง่ายอยู่แล้ว หรือมีแนวโน้มจะเป็นตัวดูดงาน คือ บ้างานเป็นทุน พอเจองานที่หนักขึ้นหรือเจอการเปลี่ยนแปลง ก็เลยทำให้สู้ไม่ไหว อันนี้ต้องพิจารณาดีๆ ก่อนจะชี้นิ้วออกไปที่คนอื่นครับ

แต่ถ้าลองพิจารณาดีๆ แล้ว มองคนรอบตัวแล้วพบว่ากำลังอยู่ในชะตากรรมที่เรียกว่า “หายนะ” วันหยุดก็ยังต้องทำงานตลอดๆ อันนี้ผมก็แนะนำว่าอย่าไปฝืนครับ เราทุกคนมีครอบครัว มีคนที่เรารัก มีชีวิตที่ยังต้องไปต่ออีกหลายบทที่เราต้องก้าวไปเจอ อย่าให้เรื่องงานมาทำลายเราถึงขนาดนี้ จนเอาชีวิตไปแลกกับมัน

ฝากไว้ให้คิดนะครับ ยังไงเสีย ชีวิตเราควรมีทางเลือกอยู่เสมอ และคำว่า “ชีวิต” มันกว้างมากกว่าแค่งานกับองค์กรใดองค์กรเดียว เราทุกคนรักองค์กรได้ครับ แต่ต้องรักอย่างมีเหตุผล และรักตัวเองด้วยครับ

อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม:

-แต่ละแผนกแยกขาด-ส่งปัญหาเป็นวงกลม นานาวัฒนธรรมองค์กร ที่ทำให้พนักงานระอาจนลาออก

ยอมตกงาน ดีกว่าเป็นบ้าเพราะงาน เทรนด์ใหม่ของคนรุ่นใหม่?

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า