ในปี 2025 โลกไม่ได้เปลี่ยนเพียงจากพลังของเทคโนโลยีหรือสภาพภูมิอากาศ หากแต่กำลังพลิกผันด้วยน้ำมือของนักการเมืองระดับโลกอย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง
การส่งจดหมายเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 2568 คือหมากก้าวใหญ่ที่เขาเดินในนโยบายเศรษฐกิจเชิงรุก พร้อมขยี้หลักการการค้าเสรี และสร้างแรงสั่นสะเทือนแก่ประเทศคู่ค้าอย่างไทยโดยตรง
Finnomena Group ในฐานะผู้นำด้านคำแนะนำการลงทุน ได้จัดงานแถลงข่าวหัวข้อ ‘Looking Ahead Together: The Trump Effect on 2025 Market’ เพื่อวิเคราะห์และหาทางออกสำหรับนักลงทุนไทยในยุคที่นโยบายของทรัมป์ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและตลาดทุนทั้งโลก
[ ทรัมป์กับการเก็บภาษี 36%: แรงผลักดันและเบื้องหลัง ]
‘กรณ์ จาติกวณิช’ ประธานกรรมการและกรรมการอิสระของ Finnomena Group วิเคราะห์ว่า การเดินหน้าประกาศภาษีของทรัมป์ครั้งนี้เป็นผลจากความเชื่อฝังรากลึกเรื่อง ‘ความเสียเปรียบทางการค้า’ ของสหรัฐฯ
โดยทรัมป์ต้องการแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า ด้วยการตั้งกำแพงภาษี เพื่อดึงฐานการผลิตกลับมายังประเทศ
ความมั่นใจของทรัมป์ไม่ได้มาเพียงเพราะแนวคิดนี้ แต่ยังได้แรงสนับสนุนจากข้อเท็จจริงว่า
• การเก็บภาษีตั้งแต่ 3 เดือนก่อนหน้านี้ ยังไม่ส่งผลชัดเจนต่ออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ
• มีรายได้เข้าคลังเพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าสิ้นปีจะทะลุ 300,000 ล้านดอลลาร์
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือกดดัน Fed ให้ลดอัตราดอกเบี้ย ด้วยการอ้างว่าเงินเฟ้อไม่ปรากฏ
อย่างไรก็ตาม กรณ์เตือนว่า สินค้าที่นำเข้าอาจยังไม่ขึ้นราคา เพราะผู้ค้า ‘ตุนนำเข้าไว้’ แต่เมื่อของเก่าหมด ราคาสินค้าในสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นแน่นอนในช่วงครึ่งหลังของปี
[ ไทยในเส้นด้าย: การเจรจาที่ช้าเกินไป? ]
กรณ์ชี้ว่า หากเขาได้เป็นทีมเจรจา จะไม่กลับจากสหรัฐฯ จนกว่าจะได้ข้อสรุป เพราะการเจรจาครั้งนี้ควรเป็นเชิงรุก ไม่ใช่รอเวลาให้ถึงเส้นตาย
ในขณะที่เวียดนามเสนอภาษี 0% ตั้งแต่เริ่ม ไทยกลับเฉื่อย และเริ่มส่งข้อเสนอหลังจากเหลือเวลาเจรจาเพียงไม่กี่วัน ทำให้โอกาสในการต่อรองลดน้อยลง
ข้อเสนอของกรณ์ คือ
• เปิดโต๊ะเจรจาร่วมกับประเทศอาเซียน
• ใช้เวที WTO เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง
• สื่อสารให้คนไทยเข้าใจว่าผลของการเจรจาจะมีทั้งผู้ได้และผู้เสีย ไม่มี Win-Win
[ ไทยคือหนึ่งในผู้แพ้ที่ชัดเจน? ]
ตลาดสหรัฐฯ คือหนึ่งในปลายทางหลักของสินค้าไทย การที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้า 36% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยลดลงโดยตรง
กรณ์เตือนว่า หากไม่สามารถเจรจาลดภาษีได้ ไทยจะกลายเป็นประเทศที่นักลงทุนหลีกเลี่ยง ไม่มีใครมาสร้างฐานการผลิตในไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพราะต้นทุนจะสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินเดีย
ผลกระทบที่คาดว่าไทยจะเผชิญ:
• การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ลดลง
• การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรหดตัว
• จีดีพีอาจถูกกระทบระหว่าง 0.4-2%
[ ความเงียบของจีน และแผนหลังบ้านของเวียดนาม ]
แม้จีนจะดูไม่เคลื่อนไหวทางการเมืองมากนักในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ผู้ส่งออกจีนได้ปรับตัวด้วยการเร่งส่งสินค้าไปยังประเทศในอาเซียนเพื่อเลี่ยงภาษี เช่น ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย
การที่เวียดนามเสนอภาษี 0% ได้ทันที เป็นเพราะมีการปฏิรูปและวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยยังขาด
[ ตลาดหุ้นในความผันผวน: จังหวะนี้ยังน่าลงทุนหรือไม่? ]
‘วศิน ปริธัญ’ กรรมการผู้จัดการ Definit Investment Advisory Securities กล่าวชัดว่า ตลาดครึ่งหลังของปี 2568 จะผันผวนสูง เพราะนโยบายของทรัมป์กระทบความมั่นใจของนักลงทุนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม วศินเชื่อว่า:
• ตลาดหุ้นโลก (โดยเฉพาะสหรัฐฯ) อาจ Sideway up หากไม่มีภาวะถดถอย
• ตลาดหุ้นไทย แม้เศรษฐกิจอ่อนแรง แต่ Valuation ต่ำสุดในรอบ 10 ปี เป็นโอกาสทยอยสะสม
• หุ้นปันผลสูงยังเป็นทางเลือกหลัก เพราะให้รายได้ประจำท่ามกลางความไม่แน่นอน
[ กลยุทธ์การลงทุนในโลกใหม่: มองไกลและยืดหยุ่น ]
‘เจษฎา สุขทิศ’ CEO ของ Finnomena Group เปรียบภาพปี 2025 คล้ายกับปี 2019 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงช่วงต้นปี 20% ก่อนจะกลับขึ้น 30% ทำสถิติใหม่
เขาเชื่อว่า:
• ตลาดสหรัฐฯ จะได้รับประโยชน์จากการที่ฐานการผลิตกลับเข้าประเทศ
• อินเดียและเวียดนามจะได้ประโยชน์จากการโยกย้ายการผลิตออกจากจีน
• ประเทศที่ไม่อยู่ในจีน แต่อยู่ใน Emerging Markets จะกลายเป็น ‘ดินแดนแห่งโอกาส’
Finnomena เสนอพอร์ตลงทุนใหม่:
• Multi Asset Funds กระจายความเสี่ยงทั่วโลก
• Global Defensive Equities พร้อม Option Strategy
• Hedge Fund แบบ Long-Short เพื่อเก็บโอกาสทั้งขาขึ้นและขาลง
[ Better Together: ความร่วมมือคือคำตอบ ]
ภายใต้แนวคิด ‘Better Together’ Finnomena เดินหน้าสร้างระบบ ‘Wealth Together’ ที่มอบประสบการณ์การลงทุนครบวงจรให้กับนักลงทุนไทย
‘กสิณ สุธรรมมนัส’ CSO ของกลุ่ม กล่าวว่า วิกฤตคือเรื่องปกติในโลกการลงทุน แต่สิ่งที่ช่วยให้เราผ่านมันไปได้ คือเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจและเดินไปด้วยกัน
บริการ Wealth Together:
• ผู้แนะนำการลงทุน (FA) ส่วนตัว
• วางแผนพอร์ตหุ้น-ตราสารหนี้-กองทุน
• ปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์จริง
ขณะนี้ Finnomena มีลูกค้า 50,000 คน และตั้งเป้า FA 1,000 คนเพื่อดูแลนักลงทุนให้ครบถ้วน
[ ไทยในจุดตัด – จะเลือกต่อรอง หรือรอถูกตัดขาด? ]
การเก็บภาษี 36% จากสหรัฐฯ อาจไม่ใช่จุดจบของการค้าเสรี แต่มันคือจุดเริ่มต้นของโลกแบบใหม่ ที่ประเทศเล็กต้องตัดสินใจว่า จะรวมกลุ่มเพื่อรักษาอำนาจต่อรอง หรือแยกเดี่ยวให้ถูกกลืน
ไทยมีโอกาส หากกล้าสื่อสาร กล้าตัดสินใจ และกล้าปฏิรูป
ในฝั่งนักลงทุน นี่คือช่วงเวลาที่ต้องมีพาร์ทเนอร์ มี FA ที่เข้าใจสถานการณ์ และมีพอร์ตการลงทุนที่พร้อมรับทุกคลื่นลม
‘Better Together – Wealth Together’ จึงไม่ใช่แค่คำขวัญ แต่คือหลักการเอาตัวรอดในโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…