SHARE

คัดลอกแล้ว

explainer จากผู้ต้องสงสัย มาสู่เซเล็บ และกลายมาเป็นผู้ต้องหา ถึงตรงนี้ คดี “ใครฆ่าน้องชมพู่” อันยาวนาน 1 ปี ใกล้แล้วที่จะได้ข้อสรุป

workpointTODAY จะพาไปย้อนดูเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่แรก นับ 1 กันชัดๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และมีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ลุงพล จะเป็นคนร้ายตัวจริงของคดีนี้

1) วันที่ 11 พฤษภาคม 2563 น้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ จากหมู่บ้านกกกอก อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร หายตัวไปอย่างลึกลับจากบ้านของตัวเอง นั่นทำให้ชาวบ้านมากกว่า 200 ชีวิต ตามหาสามวันสามคืน จนในที่สุด วันที่ 14 พฤษภาคม ชาวบ้านรายหนึ่งไปพบศพน้องชมพู่ อยู่ในสภาพเปลือยกาย ที่ป่าภูเหล็กไฟ ซึ่งมีระยะทางห่างจากบ้านถึง 2 กิโลเมตร โดยในการสืบคดี โอกาสที่น้องชมพู่จะวิ่งไปบนเขาเองก็เป็นไปได้ แต่ตำรวจก็ยังไม่ตัดข้อสงสัยเรื่องฆาตกรรม คืออาจมีผู้ใหญ่พาไปที่ภูเขาแล้วปล่อยทิ้งไว้จนน้องชมพู่ไม่สามารถกลับมาได้

2) คดีนี้มีความน่าสงสัยหลายอย่าง เช่นในวันเกิดเหตุ คุณแม่ฝากน้องชมพู่ไว้กับ พี่สาวอายุ 13 ที่ชื่อสะดิ้ง แต่สะดิ้งอ้างว่าเผลอหลับไปราวๆ 10 นาที ซึ่งช่วงนั้นเองที่ชมพู่หายไปแล้ว และตำรวจมาสืบค้นภายหลังว่า จริงๆสะดิ้งไม่ได้หลับตามที่อ้าง แต่เล่นแอพ TikTok อยู่ หรือแม้แต่คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องชมพู่ ก็โดนตั้งข้อสงสัยเช่นกัน ว่าจริงๆ ฆ่าลูกตัวเองหรือเปล่า มีดราม่ากันในจุดเล็กๆน้อยๆ เช่น ทำไมพ่อแม่ไม่ยอมไปล้างหน้าศพลูกในวันสุดท้าย ก่อนที่น้องชมพู่จะถูกเผา เป็นต้น

3) ตำรวจกระจายผู้สงสัยในหมู่บ้าน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึง “ลุงพล” หนึ่งในคนที่ใกล้ชิดกับน้องชมพู่มากที่สุด โดยคุณแม่ของชมพู่ มีพี่สาวแท้ๆชื่อ ป้าแต๋น-สมพร หลาบโพธิ์ และสามีของเธอชื่อ ลุงพล-ไชย์พล วิภา ทั้งสองคนมีลูกชายด้วยกัน ชื่อ โอม กับ น้ำมนต์ อยู่ชั้นประถมทั้งคู่ โดยลุงพล มีความสนิทสนมกับน้องชมพู่มาก โดยเฉพาะช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ที่น้องเตรียมจะเข้าโรงเรียนอนุบาล ทั้งสองคนได้อยู่ใกล้และคลุกคลีกันบ่อยขึ้น ซึ่งด้วยความสนิทกัน ลุงพลถึงกับพูดขึ้นมาเลยว่า ถ้าอนาคตพ่อแม่ไม่เลี้ยงชมพู่แล้ว ก็จะขอรับเอาไว้เป็นลูกเอง

4) ท่ามกลางความสงสัยในตัวลุงพล เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่า อย่าเพิ่งปักใจเชื่อว่าใครคือฆาตกร แต่ขอให้รอผลการชันสูตรศพอย่างละเอียดเสียก่อน ดูว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงคืออะไร แล้วค่อยเริ่มสืบสวนไปจากจุดนั้น โดยการชันสูตรศพ จะทำการผ่าสองรอบ ครั้งที่ 1 ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ในจังหวัดอุบลราชธานี และครั้งที่ 2 จะผ่าที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ในกรุงเทพ ซึ่งจะได้รายละเอียดการชันสูตรครบถ้วนในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2563

5) ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ที่เจอศพ จนถึงช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2563 กินระยะเวลาเกือบ 2 เดือน ซึ่งในช่วงนี้ ระหว่างที่รอผลชันสูตร ตำรวจในพื้นที่ก็ทำการสืบสวนพยานไปพร้อมๆกัน ทำให้บรรยากาศในหมู่บ้านกกกอก จุดเกิดเหตุ จึงเป็นไปอย่างอึดอัด เพราะคนในหมู่บ้าน ล้วนแล้วแต่สงสัยกันเองว่าใครคือฆาตกรกันแน่ ประกอบกับการที่สื่อมวลชนลงพื้นที่ ถามชาวบ้าน คนนั้น คนนี้ ว่าคิดอย่างไร สงสัยใครหรือไม่ กลายเป็นเพิ่มชนวนความขัดแย้งในชุมชน ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

6) พ่อแม่ ตายาย ของน้องชมพู่ ในระหว่างที่รอการชันสูตร ได้เดินทางไปหาร่างทรงชื่อ “หลวงปู่สี” โดยร่างทรง แปลงเสียงเป็นเสียงเด็กผู้หญิง จนทำให้พ่อแม่เชื่อว่า วิญญาณน้องชมพู่มาเข้าร่างทรง โดยคำที่ร่างทรงพูดคือ “พ่อ แม่ โอมมาหรือเปล่า หนูคิดถึงโอมมาก โอมไม่มาหรอ แล้วลุงพลมาไหม ลุงพล ลุงพล” โดยการที่ร่างทรงว่ามาอย่างนั้น เพิ่มความสงสัยในตัวลุงพลมากขึ้น จนในที่สุด แม่ของลุงพลของให้สัมภาษณ์ว่า เป้าหมายเบอร์ 1 ที่มีแนวโน้มจะเป็นฆาตกรมากที่สุด คือลุงพลนี่ล่ะ

“ลุงดูรักลูกเรามากเกินไป ลุงพลขอบพูดว่า รักชมพู่มาก ถ้าเกิดพ่อแม่ไม่เลี้ยง จะเลี้ยงไว้เอง ไม่ได้พูดครั้งเดียว พูดอยู่ตลอด เราสงสัยลุงพลตั้งแต่ก่อนน้องหายแล้ว สงสัยทำไมรักลูกเรามากเกิน จนสัญชาตญาณความเป็นแม่ต้องขอดึงลูกคืน เราคิดว่าน้องเป็นเด็กผู้หญิง ลุงก็เป็นเขย เพราะลุงก็มีลูกชายอยู่ 2 คนด้วย ถ้าให้น้องติดลุงมากเกินก็กลัวอันตราย” คุณแม่น้องชมพู่กล่าว

7) กระแสความกดดัน จึงไปตกอยู่ที่ตัวลุงพล สื่อมวลชนพยายามจับประเด็นว่า ลุงพลคือฆาตกรหรือไม่ มีการทำแบบจำลอง นาทีต่อนาที ว่าลุงพลอยู่ไหน ในช่วงที่น้องชมพู่หายไป มีการลงพื้นที่ในหมู่บ้าน ไปถามประชาชน ว่าลุงพล มีท่าทีผิดสังเกตอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ชาวเน็ตจำนวนมากปักใจเชื่อว่าลุงพลต้องมีส่วนรู้เห็นกันการเสียชีวิตของน้องชมพูแน่ๆ โดยความเห็นหนึ่งระบุว่า “ดูรักเด็กเกินเหตุ ไม่ใช่ลูกตัวเองแท้ๆ ซะหน่อย” ซึ่งลุงพลได้อธิบายในเรื่องนี้ว่า “ผมก็อยากรู้ความรู้สึกของคนพูด ทำไมคิดว่าผมแสดง มันไม่ใช่ภาพยนตร์นะที่ผมจะทำแบบนั้น ผมไม่อยากจะพาดพิงถึงใคร เพราะเขาไม่ได้มาเจอแบบที่เราเจอ”

8) ลุงพลมีความเครียด เนื่องจากโดนคนในชุมชนตั้งข้อสงสัย รวมถึงญาติพี่น้องของฝั่งคุณแม่น้องชมพู่ก็เพ่งเล็งทั้งหมด โดยเจ้าตัวเปิดเผยว่า คิดอยากจะบวชให้น้องชมพู่ แต่ไม่มีวัดไหนรับ เพราะอาจมองว่าตัวเองตั้งใจจะหนีคดี

ยิ่งการกระทำเล็กๆน้อยๆ ของลุงพล กลายเป็นข้อสงสัยของชาวบ้านไปหมด ตัวอย่างเช่น ตอนที่เจอศพน้องชมพู่บนภูเขา ณ ตอนนั้น ยังไม่มีใครรู้ว่า เจอน้องในสภาพศพเปลือยกาย ก็เป็นลุงพลที่หยิบเอาเสื้อผ้าจากบ้านมาเพื่อเตรียมจะใส่ให้น้อง จุดนี้ชาวเน็ตก็สงสัยว่า รู้ได้อย่างไรว่าน้องเปลือยอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ ลุงพลก็ต้องมาอธิบายว่า พ่อแม่น้องฝากมาให้ ไม่มีอะไรให้ต้องคลางแคลงใจ ขณะที่ความเห็นหนึ่งในโลกออนไลน์กล่าวว่า “เราว่าลุงพลนี่แหละน่าสงสัยที่สุดตั้งแต่แรก ดูฉลาดมากๆ ดูนิ่ง แต่ก็มีอาการร้อนตัวให้เห็น”

9) เกือบ 2 เดือนที่ตัวเองถูกสงสัย ลุงพลไม่ได้หนีออกจากพื้นที่ แต่ใช้ชีวิตไปตามปกติ สื่อมวลชนคนไหน ถามอะไรก็ตอบ ให้ทำอะไรก็ทำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สอบสวนหลายหน ก็ให้ความร่วมมือทุกครั้ง กลายเป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวมีความกดดันสูงมาก ขณะที่เรื่องการทำงาน อาชีพของลุงพล คือรับจ้างทำไร่ ทำนา ทำสวนยางพารา ถ้ามีชาวบ้านจ้างมาให้ช่วยไปทำที่สวนของตัวเองก็ไป แต่หลังจากตกเป็นข่าว ชาวบ้านก็มีความหวาดกลัว จึงไม่มีใครจ้างงาน ลุงพลกับป้าแต๋น จึงทำให้เขาต้องเอาเงินเก็บในการประคองตัวเองไปก่อน

10) เรื่องชีวิตส่วนตัวของลุงพล ก็โดนสื่อมวลชนชำแหละอย่างละเอียด ชอบทำอะไร ชอบไปไหน ทำให้กระแสในโลกออนไลน์จึงแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือคนที่ฟันธงไปแล้วว่า ลุงพลคือฆาตกรแน่ๆ กับอีกส่วนที่มองว่า ลุงพลอาจจะแค่พูดเยอะเฉยๆ ที่ผ่านมาก็ไม่มีหลักฐานเอาผิดอะไรชัดเจน มีแต่การคาดเดากันไปมาล้วนๆ

11) วันที่ 9 กรกฎาคม ในทวิตเตอร์มีการติดแฮชแท็ก #Saveลุงพล จนขึ้นเทรนด์ในประเทศไทย โดยความเห็นหนึ่งระบุว่า “ชายคนนี้มีลูกเล็ก และเป็นพ่อคนเหมือนกับคนอื่น แต่เขาโดนกดดันสารพัด ทั้งความสงสัยของผู้คน ชาวบ้านต่างๆ และตำรวจที่มุ่งหน้าไปเก็บหลักฐานในรถของลุงพล มีการเก็บดีเอ็นเออย่งละเอียด แต่ในขณะเดียวกันในฐานะญาติ ก็ต้องช่วยจัดการเรื่องงานศพของน้องชมพู่ไปด้วย ลุงพลแสดงความบริสุทธิ์ใจ ให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ ให้ข้อมูลทุกอย่าง แม้จะโดนสอบนานทั้งวัน ทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ก็ไม่อาจจะเหนื่อยหรือท้อได้ ลุงพลไม่เอ่ยปากบ่นแม้แต่ครั้งเดียว และไม่ซัดทอดใคร แต่สุดท้ายกลับโดนซัดทอดจากคนในครอบครัวเอง”

12) หลังจากรอคอยมานาน 2 เดือนเต็ม ในที่สุด 13 กรกฎาคม 2563 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคดี ได้ออกมาแถลงความคืบหน้า โดยเฉพาะประเด็นผลชันสูตรศพอย่างละเอียดโดยระบุว่า “ไม่พบร่องรอยข่มขืน,ฆาตกรรม และทำร้ายร่างกาย กระเพาะไม่มีอาหารหลงเหลืออยู่ มีเพียงของเหลวเหลืออยู่ 10 มิลลิลิตร ขณะที่ สมอง และปอดไม่พบความผิดปกติที่เกิดจากการโดนทำร้าย กะโหลกศีรษะไม่พบการแตกร้าว คอไม่หัก ไม่มีรอยฟกช้ำ อวัยวะเพศไม่มีการถูกล่วงละเมิด เยื่อพรหมจรรย์อยู่ครบสมบูรณ์ สาเหตุที่น้องชมพู่เสียชีวิตคือ “ขาดอาหารและน้ำ” จนเสียชีวิต ไม่มีการทำร้ายใดๆเกิดขึ้น ดังนั้นจึงตัดประเด็นเรื่องการฆาตกรรมออกไปได้ เท่ากับว่าการเสียชีวิตของน้องชมพู่ จึงมีความเป็นไปได้เหลือเพียงสองทาง คือ 1- มีคนจับน้องชมพู่ เอามาปล่อยไว้กลางป่า สุดท้ายน้องออกไปไมได้ ก่อนจะเสียชีวิตด้วยการขาดอาหารและน้ำ และ 2 คือน้องวิ่งเล่นเข้ามาในป่าเอง ก่อนจะพลัดหลง แล้วสุดท้ายเสียชีวิตเอง โดยไม่มีใครทำร้าย

13) เด็ก 3 ขวบ แต่จะวิ่งขึ้นเขาที่อยู่ห่างจากบ้าน 2 กิโลเมตร โดยไม่มีใครพบเห็น มันดูมีความผิดปกติอย่างมาก นั่นทำให้ตำรวจสอบปากคำชาวบ้านหลายหมู่บ้าน รวมแล้วมากกว่า 1 พันปาก มีการตรวจดีเอ็นเอคนเกี่ยวข้องราว 100 ราย แต่ปรากฎว่าไม่มีใครเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายไปเลย นั่นทำให้ตำรวจไปต่อไม่ถูก ไม่รู้จะเชื่อมโยงในการหาคนร้ายได้อย่างไร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า “จริงอยู่ว่า เด็กวัย 3 ขวบ เดินไปคนเดียวในระยะ 2 กิโลเมตร เป็นเรื่องไม่ง่ายนัก แต่ตำรวจยังไม่ตัดประเด็นนี้ออกไป”

14) พล.ต.อ. อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แสดงความเห็นว่า “หมอลงความเห็นว่าตายเพราะขาดน้ำ เพราะมุกดาหารเป็นดินแดนที่ร้อนที่สุด 40 องศา ยิ่งเดือนพฤษภาคมนี่ร้อนมาก เมื่อน้องชมพู่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นก็ทำให้เสียชีวิตไป ส่วนหลักฐานว่ามีคนอุ้มไปหรือไม่ ไม่มีดีเอ็นเอ ไม่มีเส้นผม ของคนอื่นแปลกปลอมเลย โดยการจะสาวถึงตัวคนร้ายได้นั้น หลักฐานนิติวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่จะเป็นข้อพิสูจน์ แต่ศพของน้องชมพู่ไม่มีหลักฐานอะไรเลย ส่วนประจักษ์พยานที่เห็นว่าน้องชมพู่ไปกับใคร หรือถูกใครทำร้าย ทั้งหมดนี่ไม่มีเลย”

15) สำหรับลุงพล ถามว่ามีโอกาสเป็นคนเอาน้องชมพู่ไปปล่อยในป่าจริงหรือไม่ คำตอบคือเป็นไปได้ แต่ในเงื่อนไขที่ไม่ง่าย นับเวลาเป๊ะๆคือ 22 นาที กล่าวคือในวันเกิดเหตุ ลุงพลออกจากบ้านไปหาพระที่วัดในเวลา 9.45 น. ก่อนที่จะถึงวัดในเวลา 10.07 น. ซึ่งในช่วงเวลานี้ ถ้าลุงพลเป็นคนร้ายจริง เขาต้องจับตัวเด็ก เอาไปปล่อยในป่า ก่อนจะทำลายหลักฐานดีเอ็นเอทั้งหมด แล้วรีบขับรถไปหาพระที่วัด ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้ ถามว่าทำภายใน 22 นาทีได้ไหม ก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ก็ถือว่ายังยากพอสมควร

16) เมื่อยังไม่เจอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าลุงพลเกี่ยวพันกับการจับน้องชมพู่ไปปล่อยกลางป่า ทำให้ชาวเนตที่อยู่ฝั่ง #Saveลุงพล ออกมาประกาศชัยชนะ ว่าลุงพลคือผู้บริสุทธิ์ กระแสสังคมกลายเป็นว่า ลุงพลเป็นชาวบ้านธรรมดาที่โดนสังคมกลั่นแกล้ง นั่นทำให้ความช่วยเหลือต่างๆ ที่มีให้ลุงพล และป้าแต๋น ก็หลั่งไหลมาจากทั่วประเทศ ตัวอย่างเช่นบ้านลุงพลแต่เดิมเป็นไม้ไผ่ล้อม หลังคาสังกะสี ก็มีคนจ่ายเงินช่วยทำบ้านใหม่ให้ รวมแล้วมูลค่าราวๆ 3 แสนบาท ซึ่งทั้งหมดที่ได้รับลุงพลไม่ได้เปิดรับบริจาคจากใครเลย แต่มีคนไม่รู้จักมามอบให้เอง

17) ตั้งแต่ตำรวจไม่สามารถหาหลักฐานที่เชื่อมโยงลุงพลกับคดีได้ ส่งผลให้ลุงพลได้รับความนิยมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อยู่ๆเขาก็มีฐานแฟนคลับขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่ได้มีผลงานใดๆ ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่อย่างแท้จริง โดยลุงพล เปิด YouTube แชนแนลของตัวเองในชื่อ “ลุงพลป้าแต๋น แฟมิลี” ในวันที่ 16 สิงหาคม 2563 ซึ่งในแชนแนล เขาก็จะลงคลิปง่ายๆ ถ่ายทำเอง เพื่อเล่าวิถีชีวิตของตัวเอง เช่น เขาถ่ายคลิปกินข้าวเช้า ถ่ายคลิปขับรถไปวัด ถ่ายคลิปพาลูกๆไปเที่ยวทะเลครั้งแรก ถ่ายคลิปลงสระว่ายน้ำครั้งแรก ซึ่งแม้จะไม่มีโปรดักชั่นอะไรเลย แต่ก็มีคนดูนับแสนนับล้านในหลายๆคลิป

18) ความดังของลุงพลไม่หยุดแค่นั้น เมื่อจินตหรา พูนลาภ ศิลปินคนดังจับเอาลุงพล มาร้องเพลงพิเศษ เต่างอยฉบับ จินตหรา feat. ลุงพล โดยเอ็มวีปล่อยออกมาในวันที่ 30 สิงหาคม 2563 และใช้เวลาแค่ 2 วัน ทะยานขึ้นไป 2 ล้านวิว พร้อมติดอันดับ 1 ในมาแรง (#1 on Trending) ในประเทศไทย จากนั้นลุงพลก็มีงานโชว์มากมาย แค่ไปโชว์ตัวก็เรียกเสียงกรี๊ดได้จากคนบางกลุ่มได้แล้ว รวมถึงได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายโฆษณาอีกต่างหาก

นอกจากนั้น มีเหตุการณ์ที่น่าตกใจเกิดขึ้นเมื่อมีโรงเรียน พานักเรียนประถมมาทัศนศึกษา ที่บ้านกกกอก เพื่อมาเยี่ยมลุงพล โดยคุณครูพาเด็กๆไปถ่ายรูปกับลุงพลและป้าแต๋น ซึ่งก็เกิดคำถามในสังคมว่า เด็กๆได้ประโยชน์อะไรกับทริปไปเยือนบ้านลุงพลครั้งนี้

19) แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วยกับความโด่งดังนี้ โดย ดร.อิษยา สินพงศพร หัวหน้าหลักสูตรการผลิตสื่อนวัตกรรม คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพอธิบายว่า “ส่วนตัวคิดว่ามันคือปรากฏการณ์สร้างไอดอลที่ผิดเพี้ยน เพราะเชื่อว่าเราไม่ควรฟีเวอร์กับเรื่องแบบนี้ การคลั่งไคล้ลุงพลจะทำให้คนเบี่ยงประเด็นไปที่ความบันเทิง และลดความสำคัญในการติดตามคดี และสื่อมวลชนในจังหวะนี้ ก็ควรให้คุณค่าอย่างถูกที่ รู้ว่าควรให้คุณค่ากับอะไรที่สุด ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องการสร้างไอดอลแน่”

20) แม้ลุงพลจะมีชื่อเสียงดังขึ้นมา แต่ในส่วนของคดี ยังคงต้องสืบสวนกันต่อไป โดยโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวว่า “เมื่อพนักงานสอบสวนระบุว่าการตายไม่เกิดจากการกระทำผิดทางอาญา เช่นขาดน้ำ ขาดอากาศ ร่างกายไม่มีร่องรอยบาดแผล อัยการจะตรวจสำนวน แล้วส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พิจารณาเห็นชอบในการยุติคดี จนกว่าจะมีหลักฐานใหม่ โดยคดีนี้มีอายุความ 20 ปี” แปลว่าคดีจะยุติชั่วคราวก่อน แต่หากมีหลักฐานใหม่ก็สามารถนำมาพิจารณาต่อได้ทันที

21) ในระหว่างที่ตำรวจสืบสวนต่อไป ลุงพลก็ยังอยู่ในหน้าข่าวเรื่อยๆ เพราะไปมีคดีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติดงภูพาน ตามด้วยเหตุการณ์ทำร้ายนักข่าวจากช่อง PPTV ถือว่าเป็นดราม่าในแง่ลบอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอดผู้ติดตามในแชนแนลของลุงพล ก็ยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ปัจจุบันอยู่ที่ 358,000 ฟอลโลเวอร์

22) สำหรับความคืบหน้าของคดี หลังจากผ่านไป 1 ปีเต็ม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ว่า “คดีน้องชมพู่ยังไม่จบ แต่เรามีคำตอบให้แน่นอน ช้าเร็วอยู่ที่เรา และผมเชื่อว่ามีคำตอบที่สังคมพอใจแน่ เอาอย่างนี้แล้วกัน” โดยมีรายงานว่าตำรวจค้นพบเส้นขนจำนวน “3 เส้น” อยู่ในจุดที่เกิดเหตุ โดยหลังจากตรวจ DNA แล้ว สามารถชี้ชัดได้ว่า ใครที่อยู่ใกล้ชิดกับน้องชมพู่ในวันนั้น

23) และเมื่อวานนี้ (1 มิถุนายน 2564) ตำรวจออกหมายจับ “ลุงพล” ว่ามีความเกี่ยวพันกับคดีนี้จริง โดยแจ้ง 3 ข้อหาได้แก่

– พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันควร

– ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกินเก้าปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย

– กระทำการใดๆ แก่ศพ หรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

โดยในข้อหา ไม่มีข้อไหนที่บ่งบอกว่าลุงพลทำการฆาตกรรม แต่เป็นการชี้ข้อหา ว่าลุงพลคือผู้ต้องสงสัยที่อาจจับตัวน้องชมพู่ไปปล่อยในป่า จนส่งผลให้น้องเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งแม้จะไม่ใช่การทำฆาตกรรมโดยตรง แต่เป็นการส่งผลให้เด็กถึงแก่ชีวิตทางอ้อม

24) อย่างไรก็ตาม ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความส่วนตัวของลุงพลกล่าวว่า “อยากถามไปยังตำรวจว่า หลักฐานสำคัญอย่าง เส้นขน 3 เส้น โผล่มาจากไหน ในเมื่อคดีผ่านมาเป็นปีแล้ว อยากให้ตำรวจชี้แจงว่าได้หลักฐานนี้มาตั้งแต่แรก แต่ไม่ได้เอามาเป็นหลักฐาน อย่างนั้นหรือไม่”

“ถ้าหากหมายจับมาที่ ลุงพล ผมก็จะทำตามหน้าที่ของทนาย ก็เดินหน้าประกันตัวสู้คดี ส่วนตัวไม่ได้กังวลอะไร จริงๆ ในอีกแง่มุมหนึ่งการนำคดีเข้าสู่ประบวนการยุติธรรม ย่อมดีกว่าการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ และผู้คนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป เรื่องนี้ศาลยุติธรรม จะเป็นผู้ตัดสินว่าใครกระทำความผิด”

25) เรื่องราวทั้งหมด ก็หยุดอยู่ตรงนี้ ฝั่งตำรวจก็ต้องชี้แจงว่าหลักฐานใหม่ที่ได้มา มาจากไหน น่าเชื่อถือพอหรือไม่ ขณะที่ฝั่งลุงพลก็จะต้องอธิบายอย่างชัดเจน ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ กับการจับน้องชมพู่ไปปล่อยในป่า

และสำหรับคดีน้องชมพู่ หลังจากที่เสียชีวิตมาปริศนาได้ 1 ปีเต็ม กระแสความสนใจของคดี ลดน้อยถอยลง เพราะคนไปพูดถึงแต่ลุงพลกับป้าแต๋นกันหมด มาในนาทีนี้ มีโอกาสใกล้เคียงมากๆที่สังคมจะได้รู้ความจริง และคุณพ่อกับคุณแม่ของน้องชมพู่ อาจจะได้พบคำตอบ ว่าใครกันแน่ คือตัวการของเรื่องราวทั้งหมด

————————–

บทความโดย : วิศรุต สินพงศพร

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า