SHARE

คัดลอกแล้ว

Explainer ความตายอันน่าสยดสยอง ของผู้ต้องหาคดียาเสพติด ที่ถูกตำรวจจาก สภ.เมืองนครสวรรค์ อย่างน้อย 7 คน จับเอามือไขว้หลัง แล้วเอาถุงพลาสติกมาครอบหัว เพื่อรีดเงิน 2 ล้านบาท แต่สุดท้ายกลับทำให้ผู้ต้องหาเสียชีวิตในเขตพื้นที่ของสถานีตำรวจ 

นี่เป็นเรื่องที่สร้างความสลดใจให้กับคนในสังคมไทย นั่นเพราะอาชีพตำรวจ เป็นอาชีพที่ต้องยึดถือกฎหมายเป็นสำคัญ แต่คุณกลับใช้อำนาจของตัวเอง ในการรีดไถเงินจากผู้อื่น มันเป็นเรื่องที่ผิดเพี้ยน แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

ณ เวลานี้ มีการออกหมายจับแล้วก็จริง แต่สังคมกำลังจับตาดูการคลี่คลายคดีอย่างใกล้ชิด ซึ่งถ้าทุกอย่างไม่กระจ่างพอล่ะก็ กระแสสังคมคงไม่ยอมจบง่ายๆแน่ นั่นจะทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจ ที่วิกฤติอยู่แล้ว จะยิ่งเลวร้ายลงไปกว่านี้อีก

สำหรับการเสียชีวิตของผู้ต้องหาครั้งนี้ นอกเหนือจากความโหดเหี้ยมแล้ว มีอะไรบ้างที่เราได้เรียนรู้กับเหตุการณ์ที่นครสวรรค์ครั้งนี้

[ 1-ประชาชนยังเชื่อใจตำรวจได้แค่ไหน ]

ตำรวจคือผู้ถืออำนาจรัฐ ดังนั้นประชาชนจึงคาดหวังให้ตำรวจ ยึดถือกฎหมายอย่างหนักแน่น เห็นผู้กระทำผิดก็จับกุม ทำทุกอย่างตามขั้นตอน แต่สิ่งที่ ตำรวจจากสภ.เมืองนครสวรรค์ทำ คือ เห็นผู้กระทำผิดแล้วก็พยายามรีดไถเงินจากอีกฝ่ายให้ได้ โดยเอาถุงพลาสติกคลุมหัวเพื่อเรียกเงิน 2 ล้านบาท

ถ้าหากผู้ตาย ยอมจ่าย 2 ล้านจริง แปลว่าตำรวจกลุ่มนี้จะยอมปล่อยตัวไป โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายทำความผิดจริงหรือไม่ เหมือนกับว่าตำรวจไม่สนใจถูกหรือผิดอีกแล้ว แต่แค่จะทำ ในสิ่งที่ตัวเองและพวกพ้องได้ประโยชน์มากที่สุดเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ตำรวจเคยถูกตั้งคำถามเรื่องความไม่โปร่งใสมาตลอด ทั้งคดีบอส อยู่วิทยา, คดีตำรวจรับส่วยคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงคดีบ่อนพระราม 3 ยิ่งมาบวกกับเรื่องคลุมหัวฆ่าอีก ทำให้ความเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อตำรวจลดลงไปจากเดิมอีกมาก

ไม่แปลกเลยที่ ความเห็นในโลกออนไลน์ตอนนี้ บอกว่า ถ้าตำรวจทำแบบนี้ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับโจรเลย โจรเรายังรู้ว่าคิดร้ายแน่ แต่ตำรวจอยู่ในคราบของคนที่จะรักษาความปลอดภัยให้สังคม แต่กลับหาช่องว่างมากอบโกยผลประโยชน์เสียเอง

[ 2-ผู้ตัดสินโทษคนผิดคือศาล ไม่ใช่ตำรวจ ]

ผู้เสียชีวิตจากคดีนี้คือผู้ต้องหาคดียาเสพติด แน่นอนว่าถ้าผิดจริง ก็ต้องมีโทษทางกฎหมายอยู่แล้ว แต่หน้าที่ของตำรวจคือจับกุม และส่งสำนวนให้อัยการ เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิพากษาต่อไป โดยโทษจำคุกหรือปรับเป็นจำนวนเท่าไหร่ เป็นหน้าที่ที่ศาลจะตัดสิน

ตามหลักแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้กระทำผิดจริง ตำรวจก็ไม่สามารถใช้กำลังจัดการปัญหาแบบนี้ได้ และนี่เรายังไม่รู้ด้วยว่า สุดท้ายแล้วเขาผิดจริงหรือไม่ เพราะผู้ต้องหายังไม่มีโอกาสสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมด้วยซ้ำ

[ 3-วัฒนธรรมย้ายไปช่วยราชการ]

เมื่อวานนี้ (24 สิงหาคม) โฆษกสถานีตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กล่าวถึงคดีนี้ว่า “ถ้าพบว่าเป็นการกระทำผิด จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจให้มาช่วยราชการ หรือออกจากราชการไว้ก่อน” คำถามก็คือ เมื่อพบว่ามีความผิดโต้งๆ ขนาดนี้ ยังจำเป็นที่จะต้องใช้คำว่า “ให้มาช่วยราชการ” อีกอย่างนั้นหรือ

สังคมกำลังสงสัยว่า ถ้าคนทำความผิดจากที่หนึ่ง เด้งไปที่อื่น มาช่วยราชการในที่ใหม่ แต่ยังอยู่ในระบบ และประกอบอาชีพเป็นตำรวจอยู่ มันจะคัดกรองคนเลวออกจากคนดีได้อย่างไร

ขณะที่อีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกัน คือโลกออนไลน์ กระตุ้นผู้บังคับบัญชาตำรวจว่า ต้องไล่คนในคลิปทั้ง 7 ออกจากราชการให้หมด อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ ถ้าอ้างอิงจากหลักสากล ต่อให้มีคลิปชัดขนาดไหน ก็ยังคงต้องสันนิษฐานว่าผู้กระทำผิด เป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน แล้วเข้าสู่กระบวนการสอบสวนอยู่ดี ดังนั้นในขั้นตอนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ยอมไล่คนในคลิปออกทันที แม้จะดูขัดใจประชาชน แต่ก็ถือว่าทำได้ถูกต้องแล้วตามกระบวนการที่ควรจะเป็น

[ 4-ตำรวจที่ร่ำรวยผิดปกติ สมควรได้รับการตรวจสอบ ]

พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หนึ่งในตำรวจที่อยู่ในคลิปเหตุการณ์คุมถุงพลาสติก มีฉายาว่า “ผู้กำกับโจ้เฟอร์รารี่” นั่นเพราะเขามีรถสปอร์ตหลายคัน รวมถึงมีรถลัมบอร์กินี่ รุ่น Aventador LP720-4 ที่ผลิตมาแค่ 100 คันทั่วโลก โดยราคาที่เขาได้มาสูงถึง 46 ล้านบาท

คำถามที่น่าสนใจก็คือ เงินเดือนของตำรวจยศพันตำรวจเอก ในพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ อยู่ที่ 19,860-70,360 บาท เท่านั้น แปลว่า ต่อให้ได้เงินเดือนเต็มแม็กซ์ 7 หมื่นบาททุกเดือน ก็เป็นไปได้ยากมาก ที่เขาจะหารายได้สูงถึงขนาดที่ซื้อรถสปอร์ตได้หลายๆคัน

สำหรับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ เมื่อมีเรื่องการรีดไถเงินแบบนี้ออกมา ย่อมไม่แปลกที่สังคมจะตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมา ที่คุณทำงานสายยาเสพติดมาตลอด คุณมีเอี่ยวใดๆ กับการรีดไถหรือไม่ ซึ่งถ้าเอาจริงๆ เมื่อเห็นความร่ำรวยผิดปกติ ควรจะมีคำถามแต่แรกแล้วว่า ตำรวจท่านนั้นใช้วิธีไหน ในการสร้างความมั่งคั่งขึ้นมา

[ 5-นิติวิทยาศาสตร์ โปร่งใสแค่ไหน? ]

ในอดีต พยานหลักฐานที่มาจากการตรวจพิสูจน์โดยนิติวิทยาศาสตร์ จะมีน้ำหนักมากในการพิจารณาคดีของศาล เพราะเป็นการนำความรู้ศาสตร์ต่างๆ รวมถึงการแพทย์มาเพื่อพิสูจน์คดีความ แต่จากกรณีฆ่าด้วยถุงครอบหัว สิ่งที่น่าตกใจมาก คือ ในเอกสาร “หนังสือรับรองความตาย” ที่ออกโดยโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์

ระบุว่า การตายของผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นเพราะ “พิษจากสารแอมเฟตามีน” ยิ่งประกอบกับการร้องเรียนของตำรวจรายหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์เปิดเผยว่า “ผู้กำกับเฟอร์รารี่” ได้สั่งให้เอาศพไปโรงพยาบาลแล้วบอกกับหมอว่า ‘มันเสพยาเกินขนาด’

สุดท้ายถ้าเรื่องนี้ไม่แดงออกมา คนตายก็จะถูกเข้าใจไปตลอด ว่าตายเพราะเสพยาเกินขนาด ทั้งๆ ที่ถ้าดูจากคลิปในกล้องวงจรปิดก็จะเห็นชัดเจนว่าสาเหตุคืออะไร คำถามคือถ้าหากตำรวจสามารถระบุสาเหตุการตายได้ตามใจชอบ โดยที่นิติวิทยาศาสตร์ หรือการแพทย์ไม่มีความหมายอะไรเลย แล้วประชาชนจะวางใจอะไรได้อีก

จริงอยู่มีการแก้ต่างของฝั่งแพทย์ว่า ในใบรับรองการตาย มีเวลาจำกัด ทำให้แพทย์ต้องระบุไปก่อนในข้อมูลเท่าที่ทำได้ แต่พอผลการชันสูตรตัวเต็มออกมา แพทย์อาจจะแก้สาเหตุการตายเป็นอย่างอื่นได้ แต่ก็มีคำถามจากประชาชนสวนกลับไปว่า ลองเรื่องนี้ “ไม่มีคลิป” โผล่ออกมาล่ะก็ ผลชันสูตรตัวเต็ม ก็เป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นเสพยาเกินขนาด ตามที่ระบุไว้แต่แรกนั่นล่ะ

สุดท้ายในเรื่องนี้ สังคมจึงตั้งคำถามว่า คดีต่างๆ ที่มีการสรุปสาเหตุการตายออกมาว่าสาเหตุการตายคืออะไรสักอย่าง จริงๆ อาจจะโดนบิดเบี้ยวเหมือนอย่างคดีนี้ก็ได้

[ 6-ขนาดมีกล้องยังไม่เกรงกลัวกฎหมาย แล้วถ้าไม่มีจะขนาดไหน? ]

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 6 นาย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารผู้ต้องสงสัย รู้ทั้งรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่ที่สถานีตำรวจ แต่ก็ยังกล้าลงมืออย่างอุกอาจโดยไม่เกรงกลัว และเมื่อผู้ต้องหาเสียชีวิตแล้ว ยังมีการสั่งให้ไปลบภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อทำลายหลักฐาน

ขนาดมีกล้องยังไม่กลัว แล้วลองคิดดูว่าในพื้นที่ ที่ไม่มีกล้อง และไม่มีหลักฐานสืบสาวได้ ตำรวจจะสามารถใช้ความรุนแรงแค่ไหน

นี่คือสาเหตุที่สหรัฐอเมริกา ตำรวจจะมีกล้อง Body Cam ติดตัวอยู่กับชุดตำรวจ เวลาลงไปปฏิบัติหน้าที่ ก็จะเห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น มีหลักฐานแน่นหนา เพื่อเป็นการปกป้องตัวตำรวจเอง และปกป้องผู้ต้องหาด้วย ว่าการใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่มีนอกมีใน ไม่มีการใช้อำนาจรัฐ ทำร้ายคู่กรณีอย่างเกินกว่าเหตุ ซึ่งที่ไทยยังไม่มี Body Cam ในลักษณะนั้น

เรื่องนี้โยงไปถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมตั้งแต่ช่วงต้นปี ที่คฝ. จะตีกรอบนักข่าว ให้ทำข่าวได้ในพื้นที่จำกัดเท่านั้น เฉพาะแนวกั้นของคฝ. อย่างเดียว จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าไม่ปล่อยให้นักข่าว สามารถเก็บภาพ และทำข่าวได้อย่างอิสระ ยิ่งอาจเปิดโอกาสให้ตำรวจใช้ความรุนแรงได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องเกรงใจใครก็เป็นได้

 [ 7-โครงสร้างของระบบตำรวจไทย เอื้อให้ละเมิดจริยธรรม ]

รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ จากโครงการ ‘จริยธรรมในวิชาชีพตำรวจ’ โดย พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงศักดิ์ และคณะ ที่ศึกษาข้อมูลจากกลุ่มตำรวจตัวอย่าง 567 คนทั่วประเทศ เปิดเผยว่า ด้วยค่านิยมที่ปลูกฝังกันมาจากตำรวจรุ่นสู่รุ่น จึงมองว่าการละเมิดจริยธรรม เป็นสิ่งที่ทำได้โดยปกติ

  • 76% ของกลุ่มตัวอย่าง มองว่าการละเมิดจริยธรรมของตำรวจเป็นเรื่องธรรมดา จึงกระทำผิดเพื่อให้เอาตัวรอดต่อไปให้ได้ โดยเฉพาะในกรณีที่โดนผู้บังคับบัญชากดดัน และตำรวจก็เชื่อว่าค่านิยม ‘ทำตามนายสั่ง’ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
  • กลุ่มตัวอย่างเชื่อว่า การก้าวหน้าในอาชีพตำรวจไม่เกี่ยวกับความสามารถ แต่อยู่ที่เส้นสาย และตัวเงินในการวิ่งเต้นขอตำแหน่ง และเมื่อต้องใช้เงินในการซื้อตำแหน่งมา พอได้ตำแหน่งก็ทำการทุจริตซ้ำเรื่อยๆ เพื่อกอบโกยคืนให้เยอะที่สุด จากที่ตัวเองเคยต้องจ่ายไป
  • 82% ของตำรวจกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่าแทบไม่มีตำรวจคนไหน โดนลงโทษทางวินัยจากการละเมิดจริยธรรม หรือถ้ามีคนโดนลงโทษจริง บทลงโทษก็จะเบามาก ยิ่งส่งเสริมให้ตำรวจ ไม่เกรงกลัวต่อการทำผิด
    เราจะเห็นว่า เมื่อโครงสร้างของตำรวจเป็นแบบนี้ การกระทำผิดเช่นข่มขู่ และรีดไถประชาชน จึงกลายเป็นถูกยอมรับให้เกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นในประเทศอื่น นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่โตและรุนแรงอย่างมากจริงๆ

[ 8-การตรวจสอบตำรวจด้วยกัน เชื่อถือได้ไหม ]
กรณีที่สภ.นครสวรรค์ กลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศได้ นั่นเพราะมี Whistle-Blower หรือผู้แจ้งเบาะแส เป็นนายตำรวจรายหนึ่งที่รับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงส่งคลิปวีดีโอ ให้กับทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด นำไปแฉต่อสาธารณชน

สิ่งที่สะท้อนให้เราเห็นจากเรื่องนี้คือ ความจริงตำรวจมีระบบตรวจสอบภายในอยู่แล้ว คือสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ แต่ในเคสนี้เราจะเห็นได้ว่า ตำรวจผู้แจ้งเบาะแส ซึ่งเป็นตำรวจชั้นผู้น้อย ก็ไม่ได้มีความมั่นใจในระบบตรวจสอบขององค์กรตัวเองเหมือนกัน จึงต้องเอาคลิปไปปล่อยให้กับทนายษิทรา ซึ่งเป็นคนที่อยู่นอกระบบตำรวจแทน

เรื่องนี้ จึงน่าสนใจว่าทำไมตำรวจชั้นผู้น้อยจึงไม่มั่นใจในระบบการตรวจสอบของตำรวจด้วยกัน และมองว่า ทนายเอกชน เป็นที่พึ่งได้ยิงกว่าตำรวจด้วยกันเองเสียอีก

[ 9-กฎหมายป้องกันการทรมาน ยังไม่คืบหน้า ]

หนึ่งในกฎหมายที่จะช่วยป้องกันการถูกทรมานได้อย่างดีที่สุด คือ “ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย” ที่ภาคประชาชนผลักดันเรื่องนี้เข้าสภาไปตั้งแต่ วันที่ 8 กรกฎาคม 2563 แล้ว แต่ปัจจุบันผ่านมา 1 ปีเศษ สภายังไม่มีวี่แววที่จะหยิบร่างกฎหมายนี้เข้ามาพิจารณาเลย

ความเห็นจากพรรคก้าวไกล ระบุว่า “ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าผู้มีอำนาจในสังคม ไม่เคยคิดว่าการซ้อมทรมาน และการอุ้มหาย คือการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ซึ่งถ้ามีกฎหมายต่อต้านการทรมานออกมา อย่างน้อยผู้ต้องหาก็จะทราบสิทธิ์ของตัวเอง ว่าแม้จะกระทำผิดมา แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่ตำรวจจะใช้กำลังเพื่อทรมานกันแบบนั้น

[10-การปฏิรูปตำรวจไม่สามารถทำได้จริง ]

ในเมื่อโครงสร้างของตำรวจมีปัญหา และเอื้อให้ทำการทุจริต จึงมีการเสนอเรื่อง “ปฏิรูปตำรวจ” ขึ้นมา เพื่อรื้อระบบและแก้ไขทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ในประวัติศาสตร์ของไทยเคยพยายามปฏิรูปกิจการตำรวจมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ

นับจากปี 2549 ในยุคของรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ มาจนถึงยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการพยายามยื่นข้อเสนอปฏิรูปตำรวจมากเกินกว่า 20 ครั้ง แต่ไม่มีฉบับไหน ที่ครม. จะพิจารณาให้เป็นกฎหมายได้ ทุกอย่างเลยคาราคาซังอยู่แบบนี้ ไม่มีการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมเสียที

พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล นักอาชญาวิทยา อธิบายว่า “การปฏิรูปตำรวจมีการพูดถึงมาตลอด มีการเสนอร่างปฏิรูปไปนานแล้ว โดยมีสอดไส้เรื่องจริยธรรมที่ถูกต้องของตำรวจด้วย แต่สุดท้ายก็ยังไม่คืบหน้ามากนัก”

[ บทสรุปคดีคลุมหัวฆ่า บทพิสูจน์ตำรวจไทย ]

คดีถุงคลุมหัวสังหาร ในสถานีตำรวจครั้งนี้ มีอิมแพ็คอย่างมากมายเกิดขึ้นแน่นอนต่อจากนี้ไป เพราะประชาชนจะเชื่อใจตำรวจน้อยลง และการปฏิบัติงานในอนาคตจะยากมากยิ่งขึ้น

ขณะที่ในโลกออนไลน์ แฮชแท็ก #ผู้กำกับโจ้ ติดเทรนด์อันดับ 1 ในประเทศไทย และคลิปวีดีโอฉากคลุมถุงฆ่า ก็โดนกระจายไปทั่วโลกแบบ Viral ซึ่งนี่ไม่เป็นผลดีเลย ต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวโลก
นอกจากจะต้องจับคนร้ายมาให้ได้แล้ว ตำรวจต้องอธิบายอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย ว่าจริงๆ แล้ว ปัญหามันอยู่ที่ตัวบุคคลหรือ เป็นเพราะโครงสร้างในองค์กร มันเอื้อให้ตำรวจกระทำการทุจริต และกล้าโหดเหี้ยมกับผู้ต้องหาได้ถึงขนาดนั้น

ถ้าหากตำรวจไม่สามารถจัดการปัญหาหลังบ้านของตัวเองได้ล่ะก็ อนาคตก็อาจมีผู้กำกับโจ้คนต่อไป โผล่ออกมาอยู่ดี

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า