SHARE

คัดลอกแล้ว

#explainer ในงานออสการ์ มีเหตุสุดช็อกเมื่อวิลล์ สมิธ เดินไปตบหน้าผู้ประกาศรางวัล คริส ร็อค จนหน้าสั่นกลางเวทีแบบที่ไม่ได้เตี๊ยมกัน พร้อมด่าคำหยาบออกอากาศ ต่อหน้าคนทั้งโลก

เมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ความเห็นของผู้คน แบ่งเป็น 2 มุม อย่างชัดเจน มุมแรกคิดว่าคริส ร็อค ปากเสียก็สมควรโดน แต่อีกมุมก็เห็นแย้งว่า การ Roast หรือเผากัน เป็นสิ่งที่อยู่คู่วงการบันเทิงสหรัฐฯ อยู่แล้ว การขึ้นไปตบหน้าคนอื่นแบบนั้น มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูก เรื่องราวเป็นอย่างไร workpointTODAY จะสรุปทุกอย่าง ให้เข้าใจง่ายที่สุดใน 18 ข้อ

1) คริส ร็อค วัย 57 ปี สร้างชื่อจากการเป็น Stand-Up Comedy ความสามารถในการเล่นตลกบนเวทีของเขา เก่งถึงขนาดคว้ารางวัลแกรมมี่ 3 ครั้ง และ รางวัลเอ็มมี่ อวอร์ดส์ อีก 4 ครั้ง โดยตลอดการทำงานของเขา อยู่ในวงการบันเทิงทั้งเล่นตลก, เล่นละคร และ เล่นภาพยนตร์
คริส ร็อค โดดเด่นจนถูกเชิญมาเป็นพิธีกร หรือ Host ในการประกาศรางวัลออสการ์มาแล้ว 2 สมัยคือปี 2005 และ 2016 ในขณะที่การประกาศรางวัลปีนี้ (2022) เขาได้รับเชิญ ให้มาประกาศรางวัลสารคดียอดเยี่ยม

2) ใน Genre หนึ่งของวงการตลกที่สหรัฐฯ จะการเล่นมุกที่เรียกว่า Insult Comedy หรือตลกที่เล่นสนุกกับอีกฝ่าย โดยภาษาที่นิยมใช้กันคือการ “Roast” หรือเผาอีกฝ่ายบนเวที โดยทุกคนจะรับรู้ว่ามันคือการเล่นตลก จะมีรายการทีวียอดนิยม ชื่อ Comedy Central Roast บรรดาซูเปอร์สตาร์ จะมาเผาอีกฝ่ายใส่กัน อย่างดุเดือด แต่จะไม่มีการทะเลาะกันบนเวทีเพราะทุกคนจะเข้าใจพื้นฐานว่ามันเป็นเกมการเผา

3) กระแสการ Roast มีมาอย่างต่อเนื่อง ผู้จัดรางวัล Golden Globe Awards เชิญ ริคกี้ เจอร์เวส์ นักแสดงตลกชาวอังกฤษ ถึง 5 ครั้ง เพื่อมา “เผา” ดาราฮอลลีวู้ดที่มาร่วมงานด้วย นอกจากนั้นยังมีตลกบางคนที่เป็นมืออาชีพด้านการเผาโดยเฉพาะ เช่นเจฟฟ์ รอสส์ เป็นต้น

4) สำหรับคริส ร็อค เป็นตลกที่เล่นมุกหลากหลาย และสไตล์ Roast ก็เป็นหนึ่งในวิธีเล่นตลกของเขา เขาเคยแซวบิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ และ เคยแซวเควิน ฮาร์ท ในงานออสการ์ปี 2016 มาแล้ว โดยหนึ่งในคนที่เคยโดนคริส ร็อค แซวเช่นกัน คือ จาดา พิงเกตต์ สมิธ ภรรยาของวิลล์ สมิธ

5) ย้อนกลับไปในปี 2016 จาดา พิงเกตต์ สมิธ ประกาศว่าเธอจะบอยคอตต์ ไม่เข้าร่วมการประกาศรางวัลออสการ์ เพราะมองว่า มีแต่คนผิวขาวถูกเสนอเข้าชิง สาเหตุสำคัญเพราะวิลล์ สมิธ สามีของเธอ ที่มีชื่อเข้าชิง Golden Globe จากเรื่อง Concussion กลับไม่มีชื่อติดเป็น 1 ใน 5 คน ที่เข้าชิงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

แต่คริส ร็อค คือพิธีกรของออสการ์ปีนั้น ได้ขึ้นบนเวทีแล้ว Roast ใส่จาดา ว่า “จาดาบอยคอตต์ออสการ์ ก็เหมือนผมบอยคอตต์ กางเกงในของริฮันน่านั่นแหละ เพราะผมไม่ได้ถูกเชิญไง!”

“มันไม่แฟร์หรอกเนอะ ที่วิลล์เล่นได้ดีขนาดนั้นแล้วยังไม่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง แต่มันก็ไม่แฟร์เหมือนกันที่วิลล์ได้เงินตั้ง 20 ล้านดอลลาร์ จากการเล่นหนังเรื่อง Wild Wild West” (Note : Wild Wild West โดนวิจารณ์ว่าเป็นหนังสุดแย่แห่งปี ได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes 16%)

คริส ร็อค แซะทีเดียวสองคนเลย เขาหมายถึง ถ้าสามีของจาดามีชื่อติดโผมาด้วย เธอก็คงไม่บอยคอตต์หรอก แต่พอไม่มี ก็เลยประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมงาน แต่โลกนี้จะมีอะไรแฟร์บ้างล่ะ ขนาดวิลล์ สมิธเล่นหนังสุดแย่ยังได้เงินตั้ง 20 ล้านดอลลาร์เลย

ในครั้งนั้น คริส ร็อคก็โดนตำหนิเหมือนกันว่า กลุ่มคนผิวดำกำลังรณรงค์เรื่อง #OscarsSoWhite (ออสการ์ช่างขาวสะอาดจัง) เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มคนโหวต พิจารณานักแสดงหลากหลายชาติพันธุ์มากขึ้น แต่ร็อคก็เป็นคนผิวดำแทนที่จะช่วยกันผลักดันจุดยืนนี้ กลับมาแขวะกลับอีก

6) ดังนั้น สองสามีภรรยาสมิธ กับ คริส ร็อค เคยมีประเด็นกันก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เหตุการณ์ตบหน้าของวิลล์ สมิธในวันนี้ เป็นการสั่งสมดราม่าที่เคยเป็นมาก่อนและมาระเบิดเอาทีเดียวกลางงานถ่ายทอดสด

7) ความสัมพันธ์ของวิลล์ สมิธ กับ จาดา พิงเกตต์ สมิธ ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1997 มีลูกด้วยกัน 2 คน คือเจย์เดน และ วิลโลว์ แต่การที่คบกันมานานเกิน 20 ปี ทำให้ในช่วงปี 2020 จาดาไปแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับ ออกัส อัลซิน่า เด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเธอ 21 ปี ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังแต่งงานกับวิลล์ สมิธอยู่ แต่สุดท้ายแล้วสมิธก็ให้อภัย เขาเขียนความในใจว่า “ภาพครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และการแต่งงานที่เพอร์เฟ็กต์มันเผาไหม้ไปหมดแล้ว แต่เราทั้งคู่ไม่มีใครอยากหย่า เราทั้ง 2 รักกัน ความสัมพันธ์ของเราสองคนมันมีเวทย์มนตร์ แต่ว่าบางจังหวะในชีวิต มันทำให้เราสองคนไม่รู้จะไปต่อกันยังไง”

8 ) อีกหนึ่งประเด็นชีวิตที่ดราม่าใส่จาดา คือเธอเป็นโรค Alopecia Areata หรือผมร่วงเป็นหย่อมๆ สำหรับผู้หญิงที่เป็นนักแสดง มีความรักสวยรักงาม การผมร่วงแบบนี้ ทำให้เธอเจ็บปวดมาก จาดา พยายามแก้ปัญหาด้วยการฉีดสเตียรอยด์ หรือใช้ผ้าโพกหัวคลุมตลอด แต่ก็ไม่มีอะไรได้ผล สุดท้ายเธอต้องใช้วิธีโกนหัวไปเลย มันจะได้เรียบเท่ากันหมด สมิธ เองก็ต้องแบกรับความกดดันจากภรรรยาหลายอย่างเช่นกัน เรื่องแอบมีกิ๊กก็เพิ่งเกิดไปไม่นาน แล้วยังมีเรื่องทรงผมอีก การจะประคองความรักให้อยู่รอดตอนนี้ การให้กำลังใจกันและกันเป็นสิ่งจำเป็นมาก ไม่ใช่เวลาที่จะเกิดดราม่าอะไรขึ้น

9) เหตุการณ์เข้าสู่ในปัจจุบัน ในออสการ์ปี 2022 วิลล์ สมิธ ถูกเสนอชื่อเข้าชิงเป็นครั้งที่ 3 จากผลงานเรื่อง King Richard ก่อนหน้านี้ เขาเคยเข้าชิงออสการ์มาแล้ว 2 หน จากเรื่อง Ali (2002) และ The Pursuit of Happyness (2007) แต่ไม่ชนะทั้ง 2 ครั้ง แต่มาคราวนี้เขามีลุ้นมากๆ เพราะกวาดรางวัลใหญ่ๆ มาเรียบ ทั้ง Bafta และ Golden Globe มาในออสการ์หลายคนจึงเชื่อว่า น่าจะชนะด้วยอีกรางวัล

10) สมิธ (อายุ 53 ปี) เข้าร่วมงานออสการ์กับภรรยาจาดา (อายุ 50 ปี) ที่ตัดผมทรงสกินเฮดตามเดิม ทั้งสองคนนั่งแถวหน้าสุด เพราะเป็นปกติของนักแสดงนำชาย-หญิง ที่จะได้นั่งหน้าเวทีอยู่แล้ว เหตุการณ์ก็ผ่านไปโดยปกติ พิธีกรสามคน เรจิน่า ฮอลล์, เดมี่ ชูเมอร์ และ แวนด้า ไซค์ส ทำหน้าที่ของตัวเองไม่มีผิดพลาด

11) จนมาถึงช็อตเด็ดของงาน เกิดขึ้นระหว่างการประกาศรางวัลสารคดียอดเยี่ยม คริส ร็อค เป็นแขกรับเชิญขึ้นมาประกาศรางวัล และก่อนที่เขาจะเริ่มบอกว่าผู้ชนะคือใคร ด้วยความเป็น Comedian ทำให้เขาเริ่มด้วยการ Roast คนอื่นก่อน คริส ร็อคเล่นมุกถึงจาดาว่า “จาดา ผมรักคุณนะ ผมรอดูเรื่อง G.I. Jane ภาค 2 ไม่ไหวละ” โดย G.I.Jane เป็นหนังเมื่อ 25 ปีก่อน ที่เดมี่ มัวร์รับบทเป็นทหาร โดยเธอต้องสกินเฮดทั้งหัว ทำให้คริส ร็อค เอามาแซวว่า จาดาผมสกินเฮดเหมือนกันเลย ไปเล่น G.I.Jane ภาคใหม่ได้เลย ตอนแรกวิลล์ สมิธ ก็ยังหัวเราะไปกับมุกของคริส ร็อค แต่สีหน้าของจาดานั้นดูภาษากายบอกว่าไม่ชอบที่โดนแซว นั่นทำให้วิลล์ สมิธขึ้นไปบนเวที แล้วตบหน้าคริส ร็อคจนหน้าสั่นไป 1 ผัวะ

ตอนแรกคนคิดว่าเป็นมุกที่เตี๊ยมกันก่อนหรือเปล่า แต่พอวิลล์ สมิธ ตะโกนว่า “อย่าพูดชื่อเมียของฉันจากปากเวรๆ ของแกอีก” (Keep my wife’s name out your fucking mouth) ทุกคนก็เงียบกริบ และรู้แล้วว่า มันคงเป็นเรื่องจริงแน่ๆ แล้ว คริส ร็อคตอบกลับไปว่า “มันเป็นมุก G.I.Jane เฉยๆ” แต่วิลล์ สมิธก็ยังพูดคำเดิม ว่า “อย่าพูดชื่อเมียของฉันจากปากเวรๆ ของแกอีก” สุดท้ายคริส ร็อค ก็เลยบอกว่า “ฉันจะไม่พูดแล้วโอเคไหม นี่น่าจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการโทรทัศน์เลยทีเดียว”

12) หลังการตบเกิดขึ้น ก็มีการแจกรางวัลกันไป จากนั้นช่วงพักเบรกโฆษณา กลุ่มนักแสดงชาย ทั้งแบรดลีย์ คูเปอร์, ไทเลอร์ เพอร์รี่ และ แดนเซล วอชิงตัน เข้าไปปลอบใจวิลล์ สมิธ โดยแดนเซล วอชิงตัน ได้บอกกับวิลล์ สมิธว่า “ตอนที่คุณกำลังจะอยู่บนจุดสูงสุด ระวังให้ดี นั่นแหละเป็นช่วงที่ปีศาจร้ายจะมาเล่นงานคุณ”

13) หลังจากเหตุการณ์นั้น วิลล์ สมิธ ก็ตั้งสติได้ และกลับมานั่งที่ต่อจนจบรายการ สุดท้าย เขาก็ได้รางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมอย่างที่เขาตั้งใจจริงๆ ซึ่งตอนไปพูดรับรางวัลบนเวที เขาก็ร้องไห้ โดยกล่าวว่า “ผมอยากจะขอโทษอะคาเดมี่ และอยากขอโทษเพื่อนร่วมอาชีพทุกคน” แต่ในการพูดนั้น ไม่ได้กล่าวถึงคริส ร็อคแต่อย่างใด

14) เรื่องราวในงานออสการ์ก็หยุดตรงนี้ นำมาสู่การดีเบทกันของ 2 ฝ่าย ว่าเรื่องนี้ใครถูก ใครผิดมากกว่ากัน ฝ่ายแรกที่มองว่า คริส ร็อค สิผิด การไปหยิบเอาเรื่องอ่อนไหวของคนอื่นมาแซวสนุกสนานก็สมควรโดนแล้ว ตัวอย่างเช่นแรพเปอร์ 50cent ออกมาทวีตว่า “อีเวร อย่ากล้ามาลองดีกับกูอีก!” พร้อมลงรูปวิลล์ สมิธกำลังตบอยู่กล่าวคือ จาดา นั้นเป็นคนป่วยที่ผมร่วงจนต้องโกนหัว มันไม่ใช่ว่าเธอตัดผมเพราะอยากตัด แต่เป็นอาการที่เลือกไม่ได้ การที่คริส ร็อค หยิบเอาเรื่องนี้มาแซว ถูกเรียกว่าเป็นการชกใต้เข็มขัด แซวในสิ่งที่อีกฝ่ายแก้ไขอะไรไม่ได้ โซเฟีย บุช นักแสดงฮอลลีวู้ดทวีตว่า “นี่เป็นครั้งที่ 2 ของคริส ร็อคแล้วที่ล้อเลียนจาดาบนเวทีออสการ์ และคืนนี้เขาเล่นงานเธอเรื่องผมร่วง การเล่นโจ๊กใส่โรคภัยไข้เจ็บของคนอื่นเป็นการกระทำที่ผิด และการจงใจพูดแบบนั้นมันเป็นอะไรที่โหดร้ายมาก”

ถ้าดูกระแสในโลกออนไลน์ที่ไทย ก็จะเป็นในทิศทางนั้นเป็นหลัก คือกล้ามาปากเสียใส่ผู้หญิงของเรา ต้องโดนตบสั่งสอนสักที บางคนบอกว่าตบทีเดียวก็บุญแล้ว แล้วนี่มาทำให้อับอายกันต่อหน้าโทรทัศน์ คนดูพันล้านทั่วโลก ถ้าวิลล์ สมิธไม่มีรีแอ็กชั่นอะไรนี่สิ จะผิดปกติมาก

15) แรกๆ ในโลกออนไลน์คนก็สะใจที่คริส ร็อคโดนตบ แต่ในเวลาต่อมากระแสที่สหรัฐฯ เริ่มตีกลับ กลายเป็นผู้คนจะโจมตีวิลล์ สมิธมากกว่า ว่าการกระทำของคริส ร็อค อาจจะล้ำเส้นไปบ้าง แต่ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายได้แน่ อย่าลืมว่าเป็น Comedian ที่ถูกจ้างมานะ

เคธี่ กริฟฟิน นักแสดงตลกหญิงชื่อดังทวีตว่า “มันเป็นการกระทำที่แย่มากนะ ที่บุกขึ้นไปบนเวทีแล้วทำร้ายนักแสดงตลก ตอนนี้ใครก็ตามที่เล่นโชว์ในคอมเมดี้คลับ แล้ววิลล์ สมิธไปนั่งดูด้วย ต้องระวังตัวให้ดีแล้วล่ะ”

ขณะที่ สตีเฟ่น เอ สมิธ นักข่าวจาก ESPN ทวีตว่า “วิลล์ สมิธ ควรละอายใจกับตัวเองนะ มันแค่มุก G.I.Jane งี่เง่าธรรมดาเอง ถ้าคนแซวบนเวทีเป็นเดอะ ร็อค แทนที่จะเป็นคริส ร็อค เขาจะทำเหมือนกันไหม? เขาทำลายโมเมนต์ที่ดีที่สุดในอาชีพนักแสดงของตัวเอง ด้วยมือตัวเอง คุณทำแบบนั้นไม่ได้ ยิ่งคุณเป็นนักแสดงผิวดำเหมือนกันอีกต่างหาก”

ที่สหรัฐฯ ผู้คนจะให้เสรีภาพกับการแสดงออกสูงมาก ต่อให้โดน Roast โดนเผา ถ้าคนที่พูดมีอาชีพเป็น Comedian ก็จะเข้าใจว่ามันเป็นโจ๊ก ดังนั้นการที่วิลล์ สมิธ ระงับสติอารมณ์ไม่ไหว บุกมาตบหน้า จึงเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก
กระแสโจมตีวิลล์ สมิธ แรงถึงขนาดที่ ผู้จัดงานออสการ์ต้องออกมาแถลงว่า “ดิ อะคาเดมี่ เราไม่ยอมรับการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ”

16) ขณะที่ประเด็นทางกฎหมาย สื่อทางสหรัฐฯ ชี้ว่าสิ่งที่คริส ร็อคทำเป็นการแซวหยอกล้อ ไม่สามารถเอาผิดใดๆ ได้ แต่การที่วิลล์ สมิธตบหน้าแบบนั้น เป็นการทำร้ายร่างกาย และสามารถแจ้งความได้เลยเต็มๆ
อย่างไรก็ตามล่าสุด คริส ร็อค ได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ตรวจแล้วว่า จะไม่ยื่นเรื่องแจ้งความแน่นอน แต่ LAPD หรือสำนักงานตำรวจลอสแองเจลิส ก็ย้ำว่า “ถ้าหากคนที่โดนกระทำต้องการแจ้งความเรื่องนี้กับตำรวจในภายหลัง ทาง LAPD ก็พร้อมเสมอ ที่จะสืบสวนเรื่องนี้ให้เสร็จสมบูรณ์”

17) จริงๆ แล้วเรื่องนี้ ชาวเน็ตมาช่วยวิลล์ สมิธคิด ว่าถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้เขาควรทำอย่างไรดี ความเห็นหนึ่งบอกว่า ถ้าวิลล์ สมิธขึ้นเวทีไป แทนที่จะตบ แต่ถ้าเขาขอไมค์จากคริส ร็อคแล้วพูดว่า “ภรรยาของผมกำลังประสบปัญหาเรื่องผมร่วงอยู่ ดังนั้นเราเลยไม่ค่อยชอบมุกแบบนี้เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับผมเธอคือคนที่สวยที่สุดในงานออสการ์ครั้งนี้” ถ้าหากเขาพูดแบบนี้ ก็จะเป็นทางลงที่สวยงาม ไม่มีใครต้องเจ็บตัวเลยสักคน

18) บทสรุปของเรื่องนี้ก็จบตรงนี้ และยังเป็นการดีเบทกันอยู่ของคนในสังคม ว่าถ้าหากมีคนมาพูดพาดพิงถึงคนรักของเรา เราควรทำอย่างไร เราต้องจัดการด้วยกำลังไปเลยให้สาสมกับคนปากเสีย คนแบบนี้ถ้าไม่โดนบ้างก็คงไม่หยุด หรือควรยับยั้งสติเอาไว้ แล้วหาวิธีจัดการแบบอื่นที่ไม่ใช่ความรุนแรงแทน

 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า