ส่องป่าหาคาร์บอนเครดิต ลดโลกร้อนจริง หรือเป็นแค่เครดิตล้นเกิน
ท่ามกลางการตื่นตัวทั่วโลกในการเร่งลดก๊าซเรือนกระจก ภาครัฐไทยกำลังชูโรงให้ ‘ตลาดคาร์บอนเครดิตแบบสมัครใจ’ กลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญ ในการทำตามคำสัญญาลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement)
‘คาร์บอนเครดิต’ ได้รับความสนอย่างมาก ในฐานะกลไกช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน ที่เอกชนและประชาชนสามารถมีส่วนร่วมและสร้างรายได้ไปพร้อมกัน
ในประเทศไทย ตลาดหลักที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกัน คือผ่านโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Project) หรือที่เรียกกันว่า T-VER
โดยในช่วงปี 2559-2565 ปริมาณการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทยเติบโตขึ้น 144% ในขณะที่ราคาการซื้อก็สูงขึ้นถึง 131%
คาร์บอนเครดิตที่มีการซื้อขายในไทยมากที่สุด
คือ คาร์บอนเครดิตจากโครงการประเภทป่าไม้ ซึ่งพุ่งสูงสุดทำสถิติออลไทม์ ในราคา 2,000 บาท/tCO2e* ถือว่าแพงขึ้นกว่าสิบเท่าในเวลาไม่ถึง 7 ปี และมีราคาแซงหน้าคาร์บอนเครดิตจากโครงการด้านอื่นๆ เช่น โครงการพลังงานชีวมวล ชีวภาพ หรือแสงอาทิตย์ไปหลายเท่าตัว
* tCO2e หมายถึง ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เป็นหน่วยในการวัดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สามารถลดได้หรือถูกดูดกลับจากกิจกรรมลดคาร์บอนต่างๆ
แนวโน้มราคาคาร์บอนจากด้านป่าไม้ที่สูงนี้สอดคล้องกับความต้องการคาร์บอนเครดิตด้านป่าไม้ของโลก เนื่องจากเป็นโครงการประเภทที่ให้เครดิตได้ในระยะยาว และยังมีประโยชน์พ่วงให้ผู้ซื้อ เช่น สามารถสร้างภาพลักษณ์รักษ์โลกที่สื่อสารได้ง่ายกับผู้บริโภคอีกด้วย
แต่ในขณะเดียวกัน คาร์บอนเครดิตจากโครงการป่าไม้ กำลังถูกกล่าวหาว่า กลายเป็น ‘คาร์บอนเครดิตเกิน’ ที่ทำให้ผู้ก่อมลพิษที่ซื้อเครดิตไปได้รับประโยชน์เต็มๆ แต่กลับไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน ดังเช่นรายงานข่าวจาก The Gardian ร่วมกับ SourceMaterial ซึ่งทำการศึกษาและรายงานให้เห็นว่า กว่า 90% ของคาร์บอนเครดิตจากโครงการป่าไม้เป็น ‘คาร์บอนผี’ (phantom credits) ที่อาจไม่ควรช่วยชดเชยการปล่อยคาร์บอนได้จริง ซ้ำยังส่งผลประทบต่อคนในพื้นที่ใกล้ป่าซึ่งเปราะบางและมีอำนาจต่อรองต่ำเป็นทุนเดิม
คาร์บอนเครดิตโครงการป่าไม้ที่ถูกโปรโมทอย่างหนักในประเทศไทย
กำลังเข้าข่ายการเป็น ‘คาร์บอนเครดิตเกิน’ ที่คนทำได้ประโยชน์
แต่ที่จริงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนด้วยหรือเปล่า?
คาร์บอนเครดิต (Carbon credit) คืออะไร
สำหรับผู้ก่อมลพิษคาร์บอนเครดิต คือ ใบอนุญาตที่ให้ผู้ซื้อสามารถปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปริมาณที่ต้องการ เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอน หรือเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ทั้งระดับองค์กร บุคคล การจัดกิจกรรม หรือการผลิต โดยคาร์บอนเครดิตมีหน่วยเป็นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) สามารถนำไปแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายได้
โดยทั่วไป คาร์บอนเครดิตมีที่มาจากการดำเนินโครงการ 2 รูปแบบ คือ หนึ่ง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้พลังงานทดแทน และ สอง การกักเก็บก๊าซเรือนกระจก เช่น การปลูกป่า เป็นต้น
แปะราคาให้คาร์บอน
แล้วจะลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนได้อย่างไร?
กลไกราคาคาร์บอน
เป็นกลไกตลาดรูปแบบหนึ่งที่ทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มี “ต้นทุน”
ที่ต้องจ่ายขึ้นมา ไม่สามารถปล่อยมลพิษได้ฟรีๆ
เพื่อจูงใจให้ผู้ก่อมลพิษลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีเพียงกลไกการซื้อขายคาร์บอนเครดิตผ่าน “ตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ” เท่านั้น ยังไม่มีกลไกอื่นๆ ในการลดคาร์บอน เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน หรือการกำหนดโควต้าการปล่อยคาร์บอน เช่นที่มีในหลายประเทศ
ไทยใช้กลไกไหนบ้าง
ภาษีคาร์บอน (carbon Tax)
รัฐกำหนดอัตราภาษีต่อหน่วยการปล่อยคาร์บอนจากแหล่งปล่อยมลพิษหรือการใช้ประโยชน์ ทำให้ผู้ปล่อยมลพิษหรือผู้บริโภคมีแรงจูงใจปล่อยคาร์บอนหรือใช้สินค้าบริการที่เก็บภาษีคาร์บอนลดลง
ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(Emission Trading Scheme: ETS)
รัฐกำหนดเพดานปริมาณการปล่อยคาร์บอนโดยรวมไว้ และกำหนดให้องค์กรสามารถปล่อยคาร์บอนได้ตามปริมาณที่ได้รับจัดสรรสิทธิ โดยอนุญาตให้ขายสิทธินี้ระหว่างกันได้ ทำให้องค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจมีแรงจูงใจในการลดการปล่อยคาร์บอน หรือซื้อ-ขายสิทธิการปล่อยคาร์บอนเพื่อทำตามเพดานข้อกำหนด
การซื้อขายคาร์บอนเครดิต
มีตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นสื่อกลางซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองแล้ว ผู้ปล่อยมลพิษซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยคาร์บอนที่ปล่อย ผู้ขายคาร์บอนมีแรงจูงใจในการพัฒนาโครงการลดหรือกักเก็บคาร์บอนเพื่อนำคาร์บอนเครดิจมาขาย
ตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ
ป่าซ่อน ‘คาร์บอนเครดิตเกิน’ โครงการแบบไหนที่ต้องถูกจับตา!
คาร์บอนเครดิตจากโครงการภาคป่าไม้จัดเป็นคาร์บอนเครดิตเนื้อหอมทรงเอ ที่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ทำโครงการ เราจึงพบเห็นโครงการประเภทนี้เกิดขึ้นมากมาย ข้อมูลจากธนาคารโลก พบว่า จากโครงการชดเชยคาร์บอนทั้งหมดทั่วโลกที่ขึ้นทะเบียนใหม่ในปี 2565 มีโครงการภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์จากที่ดินสูงถึง 54% คาร์บอนเครดิตเหล่านี้ถูกซื้อไปใช้ชดเชยการปล่อยคาร์บอนโดยบริษัทชั้นนำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Disney, Shells, Gucci และอีกมากมาย
รายงานจาก UC Berkeley ชี้ให้เห็นว่าโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้กำลังสร้าง ‘คาร์บอนเครดิตเกิน’ หรือ ‘เครดิตผี’ (phantom credits) ที่เคลมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินจริง ทำให้ปัญหาโลกร้อนไม่ถูกแก้แถมอาจยังเลวร้ายกว่าเดิม เพราะคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่คาดว่าจะหักลบชดเชยกับคาร์บอนที่ผู้ก่อมลพิษปล่อยได้ กลับไม่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้จริงตามปริมาณที่ซื้อไป
รายงานฉบับดังกล่าวชี้ให้เห็นด้วยว่า โครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ที่มีแนวโน้มสร้าง ‘คาร์บอนเครดิตเกิน’ มากที่สุด คือโครงการประเภทป้องกันการทำลายป่า หรือที่รู้จักกันในนาม REDD+ ซึ่งมุ่งเน้นอนุรักษ์ป่าที่มีอยู่แล้วไม่ให้ถูกทำลายเพื่อรักษาความสามารถในการเก็บกักคาร์บอนเอาไว้ โดยจากรายงานพบว่ามีเพียงโครงการประเภทนี้ 1 จาก 13 โครงการเท่านั้นที่ได้คาร์บอนเครดิตที่น่าเชื่อถือพอ (legitimate) โดยกว่าครึ่งหนึ่งของโครงการประเภทนี้ไม่สามารถป้องกันการทำลายป่าได้จริง และมีปัญหาในการคิดคิดคำนวณคาร์บอนเครดิตเกินจริง
เมื่อ ‘คาร์บอนเครดิตเกิน’ เจอกับ ตลาดสมัครใจ เป้าหมายลดโลกร้อนอาจยิ่งห่างไกล
โดยทั่วไปการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทำได้ผ่านกลไกตลาด 2 รูปแบบ คือ ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Mandatory carbon market) และ ตลาดคาร์บอนแบบภาคสมัครใจ (Voluntary carbon market) ทั้งนี้ ตลาดทั้งสองแบบตอบโจทย์เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกได้ดีไม่เท่ากัน
การซื้อคาร์บอนเครดิตและการลดการปล่อยคาร์บอนของผู้ก่อมลพิษ
ผ่านกลไกลตลาดคาร์บอนเครดิต 2 รูปแบบ
แตะเพื่อดูปริมาณที่ซื้อ
สำหรับ ตลาดคาร์บอนภาคบังคับ
ภาครัฐจะกำหนดเพดานปริมาณคาร์บอนหรือสิทธิที่ผู้ปล่อยมลพิษสามารถปล่อยคาร์บอนได้
โดยอนุญาตให้ซื้อคาร์บอนเครดิตบางส่วนมาเพื่อชดเชยแทนการลดคาร์บอนด้วยตัวเองได้
ระบบที่เรียกว่า cap-and-trade นี้
มีขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าร่วมในตลาดต้องมีพันธะทางกฎหมายในการลดคาร์บอนเองด้วย
ในขณะที่ ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ
ผู้ก่อมลพิษที่เข้าร่วมซื้อขายไร้พันธะตามกฎหมายในการลดคาร์บอนด้วยตนเอง
ดังนั้นจึงสามารถเลือกซื้อคาร์บอนเครดิตตามประเภทโครงการที่สนใจได้
ซึ่งมักมีแรงจูงใจที่เลือกโครงการที่มีผลประโยชน์ร่วมอื่นๆ เป็นของแถม
และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีได้ เช่น เป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว
หรือส่งเสริมอาชีพชุมชน เป็นต้น
จากการศึกษาตลาดคาร์บาร์บอนทั่วโลกพบว่า
ตลาดคาร์บอนภาคบังคับที่มีกลไกในการดำเนินการที่ดีนั้นสามารถตอบเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกได้เป็นอย่างดี
ในทางกลับกันบทเรียนและการศึกษาในหลายประเทศต่างชี้ให้เห็นว่า
ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ มักขาดประสิทธิภาพในการลดก๊าซเรือนกระจก
และถูกบิดเบือนวัตถุประสงค์ได้ง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโครงการชดเชยคาร์บอนภาคป่าไม้แบบ
REDD+
ที่สุ่มเสียงต่อการเกิดเครดิตเกินอยู่แล้ว
ตลาดคาร์บอนเครดิตในไทยถึงไหนแล้ว?
นับตั้งแต่ปี 2564 ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมย์ยกระดับการแก้ปัญหาภูมิอากาศโดยการประกาศ เป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608 (ค.ศ.2065) นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ประกาศเป้าหมายระยะกลางในการลดก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 40 จากระดับที่ปล่อยในปี 2564 ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030)
ปัจจุบันตลาดคาร์บอนหลักของไทยที่มีพัฒนาการมากที่สุดคือ การซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ จากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction: T-VER) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก. เป็นผู้ให้การขึ้นทะเบียนโครงการและรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2557
ปัจจุบัน ผู้ที่มีความต้องการซื้อหรือขายคาร์บอนเครดิตสามารถเจรจาต่อรองราคาและซื้อขายกันเองได้โดยตรง เพื่อเลือกซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่สนใจ
โครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนภายใต้โครงการ T-VER
ทั้งหมด 350 โครงการ
ที่มาข้อมูล: อบก. ณ วันที่ 20 ก.ย. 2566
ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรองจากโครงการ
16,092,167 tCO2eq
3 อันดับประเภทโครงการที่มีจำนวนมากที่สุด
การพัฒนาพลังงานทดแทน (AE)
172 โครงการ
การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (EE)
77 โครงการ
ป่าไม้และพื้นที่สีเขียว (FOR)
49 โครงการ
จำนวนโครงการ และปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้
จำแนกตามประเภทโครงการ
ที่มาข้อมูล: อบก. ณ วันที่ 20 ก.ย. 2566
คาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ในไทยมาจากโครงการแบบไหน?
จากข้อมูล ณ วันที่ 20 ก.ย. 66 โครงการป่าไม้และพื้นที่สีเขียว (FOR) มีจำนวน 49 จาก 350 โครงการ หรือคิดเป็น 14% ของโครงการทั้งหมดที่ขึ้นทะเบียนกับ T-VER โดยมีปริมาณคาร์บอนที่คาดว่าจะได้รับรวมจากโครงการประเภทนี้ 118,915 ตันคาร์บอน หรือคิดเป็นเพียง 0.7% ของปริมาณคาร์บอนทั้งหมดจากโครงการภายใต้ T-VER ซึ่งนับว่าน้อยมาก
ทั้งนี้หากนับเฉพาะโครงการที่มีระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจกที่ระบุว่าเป็นโครงการป่าไม้อย่างเดียว ไม่รวมการเกษตร ภายใต้โครงการป่าไม้และพื้นที่สีเขียว (FOR) จะพบว่ามีทั้งสิ้น 48 โครงการ
โครงการป่าไม้และพื้นที่สีเขียว (FOR) ภายใต้การรับรองของ T-VER ปัจจุบันมีด้วยกัน 4 ประเภท ซึ่งใช้ระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจก (methodology) แตกต่างกันไป ดังนี้
การปลูกป่าอย่างยั่งยืน
(ระเบียบวิธีการ T-VER-METH-FOR-01)
การลดการปล่อนก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่าและการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าในระดับโครงการ P-REDD+
(ระเบียบวิธีการ T-VER-METH-FOR-02)
การปลูกป่าอย่างยั่งยืน โครงการขนาดใหญ่
(ระเบียบวิธีการ T-VER-METH-FOR-03)
สวนป่าเศรษฐกิจโตเร็ว
(ระเบียบวิธีการ T-VER-METH-FOR-04)
โครงการประเภทที่มีมากที่สุดคือ P-REDD+ มีผู้พัฒนาโครงการเลือกทำโครงการประเภทนี้ถึง 24 โครงการ ตามเอกสารอธิบายระเบียบวิธีการของอบก. ระบุไว้ว่าโครงการในกลุ่มนี้เป็นโครงการประเภทฟื้นฟูป่า โดยต้องมีการดำเนินการดังนี้
“มีส่วนสำคัญต่อการลดก๊าซเรือนกระจกจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินจากป่าไม้ไปเป็นรูปแบบอื่น โดยโครงการต้องมีกิจกรรมที่ป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า กิจกรรมป้องกันความเสื่อมโทรมของป่า และกิจกรรมเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าอย่างใดอย่างหนึ่ง”
โครงการลด ดูดซับ และกักเก็บก๊าซเรือนกระจกป่าไม้และพื้นที่สีเขียว (FOR)
ข้อมูลจากอบก. ณ 20 ก.ย. 66
กดเลือกกรองข้อมูล
นอกจาก P-REDD+ โครงการที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาโครงการป่าไม้และพื้นที่สีเขียวทั้งหมดอยู่ในโครงการประเภทนี้ คือ โครงการโดยมูลมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ที่จังหวัดน่าน ขึ้นทะเบียนในปี 2561 โดยมีพื้นที่โครงการกว่า 105,868 ไร่ และมีปริมาณคาร์บอนที่คาดว่าจะเก็บกักได้ได้ 176,704 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่าต่อปี
จากพัฒนาโครงการสู่การรับรองคาร์บอนเครดิต T-VER
มีขั้นตอนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรบ้าง
ที่น่าสนใจก็คือโครงการ P-REDD+ กว่า 19 โครงการ เป็นโครงการที่มีกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ เป็นเจ้าของโครงการ โดยมี 18 โครงการที่มีเจ้าของโครงการร่วมเป็นชุมชน และมี 19 โครงการที่มีผู้พัฒนาโครงการเป็นชุมชน และผู้พัฒนาโครงการร่วมเป็นกรมป่าไม้ และ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ซึ่่งถือเป็นองค์กรที่มีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาโครงการ P-REDD+ ร่วมกับชุมชน
‘คาร์บอนเครดิตคุณภาพดี’
ไม่เฟ้อไม่เกิน ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
อย่างที่ทราบกันดีว่าการใช้คาร์บอนเครดิตในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon offsets) เป็นวิธีการที่ถูกนำไปใช้โดยองค์กรต่างๆ ทั่วโลก เพื่อรับปัญหาโลกร้อนที่รุนแรงและเร่งด่วน เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้จริง จึงเกิดกระแสการติดตามตรวจสอบ ‘คุณภาพ’ ของคาร์บอนเครดิตที่ใช้ในการชดเชยตามมา เพื่อตรวจจับและป้องกันไม่ให้เกิดการสร้าง ‘คาร์บอนเครดิตเกิน’ ที่นอกจากจะไม่ช่วยบรรเทาปัญหา ยังอาจหมายถึงการสูญเสียทรัพยากรและโอกาสอันมีค่าในการเร่งแก้ปัญหาที่เร่งด่วนจนรอไม่ได้นี้ไปอย่างยอมรับไม่ได้
แต่เราจะสามารถเช็ค ‘คุณภาพ’ ของคาร์บอนเครดิตได้อย่างไรกัน? Carbon Offset Research and Education หรือ CORE โดยความร่วมมือของ Stockholm Environment Institute (SEI) และ Greenhouse Gas Management Institute (GHGMI) องค์กรที่ทำหน้าที่ติดตามการจัดการก๊าซเรือนกระจก ได้นิยาม ‘คุณภาพ’ คาร์บอนเครดิตว่าหมายถึง “ระดับความมั่นใจที่ผู้ซื้อสามารถมั่นใจได้ว่าคาร์บอนเครดิตนั้นใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแทนการลดการปล่อยด้วยตนเองได้จริง” โดยให้เกณฑ์คาร์บอนเครดิตคุณภาพดีเอาไว้ดังนี้
ลองเช็คกันดูว่า T-VER ของไทย มีการระบุเงื่อนไขเหล่านี้ไว้ไหม
*โครงการ T-VER มาตรฐานขั้นสูง (Premium T-VER)
เป็นโครงการภายใต้อบก.ที่ยกระดับขึ้นจากโครงการ T-VER
ให้ทัดเทียมมาตรฐานสากลมากขึ้น
ส่องเงื่อนไขคาร์บอนเครดิตโครงการป่าไม้ในไทย
จะสร้าง ‘เครดิตคุณภาพ’
หรือ
‘เครดิตเกิน’?
“เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของคาร์บอนเครดิตที่ได้จากโครงการ T-VER ในการวางแผนและดำเนินโครงการลดก๊าซเรือนกระจกฯ ตลอดจนการคำนวณ ติดตามผล และทวนสอบ ปริมาณการลดปล่อยและ/หรือดูดกลับก๊าซเรือนกระจก จึงยึดหลักการพื้นฐานสำคัญ 6 ประการ ประกอบด้วย ความตรงประเด็น ความสมบูรณ์ ความสอดคล้อง ความถูกต้อง ความโปร่งใส่ และความอนุรักษ์” คู่มือพัฒนาโครงการ T-VER (อบก.)
หากว่ากันตามตัวอักษรใน
เอกสารแนวทางการพัฒนาโครงการ Standard T-VER
ภาคมาตรฐานซึ่งเป็นมาตรฐานโครงการหลักและมีโครงการมากที่สุดในประเทศไทยปัจจุบัน
เราอาจพอกล่าวได้ว่าหลักการและหลักเกณฑ์ของ T-VER
มีส่วนที่ระบุเป็นเงื่อนไขไว้สอดคล้องกับแนวทาง
‘คาร์บอนเครดิตคุณภาพดี’ ที่ CORE ให้ไว้เป็นเกณฑ์เบื้องต้น*
*หมายเหตุ: ในทางปฏิบัติเงื่อนไขการดำเนินโครงการ Standard T-VER ที่ตรงกับคุณสมบัติคาร์บอนเครดิตคุณภาพดีอื่นๆ ตาม CORE อาจมีมากกว่าที่กล่าวถึงในงานชิ้นนี้ แต่ ณ ที่นี้จะให้ความสำคัญที่หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ระบุเป็นข้อกำหนดชัดเจนใน เอกสารแนวทางการพัฒนาโครงการของอบก. เพื่อการตั้งข้อสังเกตโดยเบื้องต้น
ที่มาข้อมูล : แนวทางการพัฒนาโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ ตามมาตรฐานของประเทศไทย (Standard T-VER) (ฉบับที่ 4.0)
‘ข้อยกเว้น’
ที่อาจนำไปสู่คาร์บอนเครดิตส่วนเกิน
จากข้อยกเว้นที่พบในเงื่อนไขโครงการ Standard T-VER เราอาจตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับการดำเนินโครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการป่าไม้ประเภท กิจกรรมการลดการดูดซับ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้ หรือ P-REDD+ ที่อาจต้องสงสัยเสี่ยงสร้างคาร์บอนเครดิตอยู่ได้เบื้องต้น เพื่อติดตามและจับตาดูต่อไป
ยกเว้นไม่ต้องมีส่วนเพิ่มก็ได้
“มีการดำเนินงานเข้าข่ายโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ต้องพิสูจน์ส่วนเพิ่มเติม (Positive List) หรือมีการดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติ (Additionality) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด” แนวทางการพัฒนาโครงการ T-VER (อบก.)
โดยหลักการแล้ว คาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพดีควรเกิดจากเป็นโครงการชดเชยคาร์บอนที่ลดคาร์บอนเพิ่มขึ้นจริงจากระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่ภายใต้หลักเกณฑ์ Standard T-VER กลับพบว่ามีโครงการจำนวนหนึ่งที่ได้รับการยกเว้น เข้าข่ายโครงการที่ไม่ต้องพิสูจน์ส่วนเพิ่ม หรือเรียกว่าเป็น Positive List
Positive List นี้กำหนดเกณฑ์ยกเว้นตามขนาดโครงการ โดยโครงการขนาดเล็กมาก (Micro scale) และโครงการขนาดเล็ก (Small scale) จะได้รับการยกเว้นทั้งหมดไม่ว่าเป็นโครงการประเภทไหน แต่โครงการขนาดใหญ่จะได้รับยกเว้นโดยทันทีหากเป็นโครงการ “ป่าไม้และพื้นที่สีเขียว” และ “การเกษตร” ในขณะที่โครงการอื่นๆ จะต้องพิสูจน์ทางเทคโนโลยีอีกขั้นหนึ่ง
“เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการเพิ่มเติมจากที่กฎหมายกำหนด” แนวทางการพัฒนาโครงการ (อบก.).
นอกจากนี้แม้จะมีการระบุเงื่อนไขในเอกสารของอบก.ว่าโครงการภายใต้ Standard T-VER จะต้อง “เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการเพิ่มเติมจากที่กฎหมายกำหนด” แต่กลับไม่มีกรอบรายละเอียดที่ชัดเจน หากพิจารณาโครงการภาคป่าไม้ในปัจจุบัน จะพบว่าโครงการประเภท P-REDD+ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์และลดการเสื่อมโทรมของป่า จำนวน 19 จากทั้งหมด 24 โครงการเป็นโครงการพื้นที่ที่ป่าชุมชนหรือป่าสงวนของรัฐ ซึ่งมี พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562 และ พ.ร.บ.ป่าสวงนแห่งชาติ พ.ศ.2507 คุ้มครองไม่ให้เกิดการทำลายและส่งเสริมให้มีกลไกการอนุรักษ์อยู่แล้ว
โครงการลด ดูดซับ และกักเก็บก๊าซเรือนกระจกป่าไม้และพื้นที่สีเขียว (FOR)
ที่สิทธิในการใช้ประโยชน์อยู่ภายใต้
พ.ร.บ.ป่าสงวน พ.ศ.2507
หรือ
พ.ร.บ.ป่าชุมชน พ.ศ.2562
ที่มาข้อมูล : อบก.
ภายใต้ พ.ร.บ.ป่าสงวน พ.ศ.2507
3 โครงการ
ภายใต้ พ.ร.บ.ป่าสงวน พ.ศ.2562
19 โครงการ
ข้อกำหนดการดำเนินโครงการตามระเบียบวิธีการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่าและความเสื่อมโทรมของป่า และการเพิ่มพูนการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่า
มีมาตรการในการป้องกันการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่น
มีกิจกรรมในการลดความเสื่อมโทรมของพื้นที่ป่า
มีกิจกรรมในการเพิ่มพูนคาร์บอนในพื้นที่ป่า
นั่นหมายความว่า โครงการบางประเภทเช่น P-REDD+ โดยเฉพาะที่อยู่บนพื้นที่ที่มีกฎหมายคุ้มครองการทำลายป่าและกำหนดให้มีการฟื้นฟูป่าอยู่แล้ว อาจมีโอกาสทำให้เกิด ‘คาร์บอนเกิน’ ได้หรือไม่?
ยกเว้นให้ดำเนินโครงการมาก่อนก็ได้
“โครงการใดที่ประสงค์จะพัฒนาเป็นโครงการ Standard T-VER ต้องเป็น
- กิจกรรมที่ยังไม่เริ่มดำเนินการ หรือ
-
เป็นกิจกรรมที่มีวันเริ่มดำเนินโครงการและก่อให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกย้อนหลังไม่เกิน
3 ปีนับจากวันที่ของเอกสารข้อเสนอโครงการ (Project Design Document: PDD)
ฉบับสุดท้ายที่ผ่านการตรวจสอบความใช้ได้และต้องมีเอกสารหลักฐานยืนยันวันเริ่ม
ดำเนินโครงการ…ยกเว้นโครงการประเภทการลด ดูดซับ
และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการเกษตร”
แนวทางการพัฒนาโครงการ (อบก.).
จากเงื่อนไขของอบก. โครงการคาร์บอนเครดิตป่าไม้ประเภท P-REDD+ กรณีพื้นที่ไม่มีต้นไม้ จะสามารถคิดเครดิตได้ภายใน 2 ปี นับจากวันที่จัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการฉบับสุดท้ายแล้วเสร็จ และผ่านการตรวจสอบความใช้ได้ แต่กรณีพื้นที่มีต้นไม้ สามารถคิดเครดิตได้ทันที นับตั้งแต่วันที่สำรวจค่ากรณีฐานของโครงการแล้วเสร็จและมีความถูกต้องสมบูรณ์ ไม่เกิน 2 ปี นับจากวันที่จัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการฉบับสุดท้ายแล้วเสร็จ และผ่านการตรวจสอบความใช้ได้
นั่นหมายความว่าคาร์บอนเครดิตของโครงการป่าไม้แบบ P-REDD+ มีโอกาสถูกนับและได้รับการรับรองเป็นคาร์บอนเครดิต โดยยังไม่เริ่มดำเนินโครงการแต่อย่างใด ซึ่งอาจทำให้เกิดการคิด ‘คาร์บอนเครดิตเกิน’ ได้หรือไม่?
แม้กลไกราคาคาร์บอนและการชดเชยคาร์บอนด้วยการซื้อขายแลกเปลี่ยนเครดิตผ่านตลาอดคาร์บอน เป็นกลไกหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อหวังให้หลายฝ่ายมามีส่วนร่วมรับมือกับปัญหา แต่ความพยายามที่หวังดีนี้อาจไม่เกิดผล ซ้ำยังอาจส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมได้ หากมีช่องว่างที่ทำให้เกิดการบิดเบือนให้เกิด ‘เครดิตเกิน’ ดังที่ปรากฎในทางปฏิบัติในหลายประเทศทั่วโลก
แต่การบิดเบือนคุณภาพของคาร์บอนเครดิตที่อาจเกิดขึ้นด้วยเงื่อนไขที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอาจทำให้เราต้องสูญเสียทรัพยากรและ
ท่ามกลางการส่งเสริมคาร์บอนเครดิตโดยเฉพาะภาคป่าไม้ในปัจจุบัน อาจถึงเวลาที่เราควรหยุดคิดทบทวนและตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรถึงจะใช้กลไกที่มีอยู่สร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพดีเพื่อรับมือปัญหาโลกร้อนได้อย่างแท้จริง
จากการที่โครงการลักษณะนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนและชุมชนที่อาศัยอยู่ในป่า ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญไม่แพ้กัน และต้องติดตามทบทวนกันต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก
ภาษาไทย
ภาษาอังกฤษ
ขอบคุณข้อมูลจาก
สร้างสรรค์โดย
เรื่องและการผลิต : Punch Up
ผลงานชิ้นนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก : Earth Journalism Network โดย Internews
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า