SHARE

คัดลอกแล้ว

‘หมอแก้ว’ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ ได้ระบายความรู้สึก ถึงกรณีการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 ทั้ง 3 ระลอก ซึ่งรวมเป็นเวลา 500 วัน แล้ว กับการวิ่งมาราธอนที่คนไทยทุกคนต้องวิ่งไปด้วยกัน

นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค หรือ หมอแก้ว ได้โพสต์เปิดไทม์ไลน์ครบรอบ 500 วัน โควิด-19 ในไทย ผ่านเฟซบุ๊ก หมอแก้ว ผลิพัฒน์ โดยระบุว่า จากวันที่ 31 ธันวาคม 2562 (นับเป็นวันที่ 0 หรือ Day 0) ซึ่งเป็นวันที่เราเริ่มได้ยินข่าวว่ามีโรคอะรูก็ไม่ไร้ (อะไรก็ไม่รู้) เกิดขึ้นที่เมืองอู่ฮั่น มาถึงวันนี้นับได้ 500 วันพอดี ประเทศไทยเราได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย ขอใช้โอกาสครบรอบ 500 วัน สรุปเหตุการณ์ที่ผมคิดว่าสำคัญที่เกิดขึ้น เพื่อให้หลายท่านได้ทบทวนและเรียนรู้กันพอสังเขปแล้วกันครับ

* 31 ธันวาคม 2562 จีนรายงานการพบผู้ป่วยปอดอักเสบไม่ทราบสาเหตุเป็นกลุ่มก้อน ต่อองค์การอนามัยโลก โดยพบผู้ป่วยแล้ว 27 คน ทั้ง 27 คน มีประวัติเกี่ยวข้องกับ Wuhan Huanan Seafood Market และระบุว่าไม่มีการแพร่โรคจากคนสู่คน

* 3 มกราคม ปีที่แล้ว ได้แจ้งคำสั่งให้เริ่มดำเนินการเปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินของกรมควบคุมโรคสำหรับโรคปอดอักเสบไม่ทราบสาเหตุ และได้แต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ ท่ามกลางเสียงบ่นเล็กน้อยๆ ของพวกน้องๆ ที่รู้ว่าต้องเริ่มมาทำงานกันในวันเสาร์อาทิตย์

* 7 มกราคม – มีข่าวว่าเชื้อก่อโรคคือ bat SARS-like coronavirus

* 8 มกราคม – พบผู้ป่วยสงสัยเป็นผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผลการตรวจเบื้องต้นพบการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ที่ไม่สามารถระบุสายพันธุ์ได้ชัดเจน

* 10 มกราคม – ห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตรวจพบเชื้อ bat SARS-like coronavirus ในผู้ป่วย

* 11 มกราคม – จีนเปิดตัวเชื้อก่อโรค

* 13 มกราคม – ไทยรายงานการพบผู้ป่วยรายแรก

* 20 มกราคม – ทางการจีนประกาศว่าโรคโควิด 19 สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้

* 23 มกราคม – จีนเริ่มมาตรการล็อกดาวน์เมือง Wuhan ห้ามประชาชนออกจากบ้าน

* 27 มกราคม – รัฐบาลได้ยกระดับให้ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ติดตามและประเมินสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา

* 30 มกราคม – องค์การอนามัยโลกประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระดับนานาชาติ

* 31 มกราคม – รายงานผู้ป่วยคนไทยติดเชื้อในประเทศเป็นรายแรก

* 4 กุมภาพันธ์ – รับคนไทย 138 คนจากเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศไทย โดยได้รับตัวไว้สังเกตอาการในสถานที่รัฐจัดให้เป็นเวลา 14 วัน พบผู้ติดเชื้อ 1 คน

* 15 กุมภาพันธ์ – ญี่ปุ่นบริจาค Favipiravir ให้ประเทศไทยจำนวน 200 เม็ด

* 24 กุมภาพันธ์ – ยา Favipiravir ล็อตแรก 5,000 เม็ดส่งถึงกรมควบคุมโรค

* 26 กุมภาพันธ์ – ยา Remdesivir ล็อตแรกส่งถึงกรมควบคุมโรค

* 29 กุมภาพันธ์ – คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย และประเทศไทยรายงานผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เสียชีวิตเป็นรายแรก

* 2 มีนาคม – มีข่าวแรงงานไทยในประเทศเกาหลีใต้เดินทางกลับประเทศ

* 5 มีนาคม – ประกาศพื้นที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย

* 6, 8 มีนาคม – รายการมวยที่สนามมวยลุมพินี และสนามมวยราชดำเนิน

* 12 มีนาคม – สำนักนายกรัฐมนตรีออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19)

* 13 มีนาคม – ผู้มีชื่อเสียงที่ทำหน้าที่พิธีกรในสนามมวยประกาศตัวว่าติดเชื้อโควิด 19

* 13 มีนาคม – สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ประกาศขอให้คนไทยที่เข้าร่วมงานดาวะห์ และผู้ติดตามใกล้ชิดเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวไปพบแพทย์ทันที

* 17 มีนาคม – คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการเร่งด่วน และให้ปิดมหาวิทยาลัย โรงเรียนนาชาติ สถาบันกวดวิชา ผับ สถานบันเทิง สถานบริการ นวดแผนโบราณและโรงมหรสพ ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล และงดการจัดกิจกรรมรวมคนจำนวนมากที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่ระบาดของโรค

* 21 มีนาคม – ผู้ว่าฯ กทม. ประกาศปิดกิจการและสถานที่เสี่ยงบางประเภททั่วกรุงเทพฯ เป็นเวลา 22 วัน ทำให้ผู้คนเดินทางกลับภูมิลำเนาเป็นจำนวนมาก และพบการรายงานผู้ป่วยในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ

* 22 มีนาคม – รายงานผู้ป่วยยืนยันสูงสุดของการระบาดในระลอกแรก จำนวน 188 คน

* 24 มีนาคม – ประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 มีนาคม 2563

* 31 มีนาคม – ประกาศให้สิทธิการรับบริการสาธารณสุขกรณีโรคโควิด 19 อยู่ในขอบเขตบริการสาธารณสุขตาม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545

* 2 เมษายน – ประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหะสถานทั่วราชอาณาจักร (เคอร์ฟิว) และสั่งห้ามไม่ให้คนต่างชาติและคนไทยเดินทางเข้าประเทศไทย

* 4 เมษายน – สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศ ห้ามเครื่องบินทุกประเทศและผู้โดยสารเข้าประเทศไทย 3 วัน และได้ห้ามต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

* 7 เมษายน – คณะรัฐมนตรีมีมติเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1/2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 63
* 8 เมษายน – กระทรวงวัฒนธรรมออกประกาศห้ามจัดงานสงกรานต์

* 9 เมษายน – กรุงเทพมหานคร และหลายจังหวัดเริ่มประกาศห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตลอด 24 ชั่วโมง ในวันเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขรายงานจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ 54 คน และหลังจากวันที่ 9 เมษายนเป็นต้นมา จำนวนผู้ป่วยรายใหม่มีจำนวนน้อยกว่า 100 คนมาโดยตลอด

* 13 เมษายน – ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศไทย ได้พิจารณาออกคำสั่งปิดร้านค้าและสถานประกอบการจำหน่ายสุราเป็นการชั่วคราว

* 18-20 เมษายน – เริ่มเกิดกระแสสังคมเกี่ยวกับผู้มีจิตอาสาแจกสิ่งของ

* 24 เมษายน – บางจังหวัดในไทย (นครราชสีมา, น่าน) เริ่มผ่อนปรนมาตรการ ปลดล็อคสถานที่ ธุรกิจบางประเภท

* 27 เมษายน – รายงานผู้ป่วยเป็นเลขหลักเดียว (9 ราย) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดในเดือนมีนาคมเป็นต้นมา

* 3 พฤษภาคม – เริ่มมาตรการผ่อนปรน โดยเริ่มจากกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำก่อน และประเมินทุก 2 สัปดาห์

* 13 พฤษภาคม – ไทยไม่พบผู้ป่วย (0 ราย) ในรอบเกือบ 4 เดือน

* 17 พฤษภาคม – เริ่มมาตรการผ่อนปรน หรือมาตรการคลายล็อกระยะที่ 2

* 25 พฤษภาคม – รายงานผู้ติดเชื้อในประเทศคนสุดท้ายของการระบาดระลอกที่ 1

* 1 มิถุนายน – เกิดเหตุการณ์ประชาชน ออกไปเที่ยวหาดบางแสนจนล้นหาด ทำให้เทศบาลเมืองแสนสุข ต้องออกประกาศปิดถนน และห้ามเข้าพื้นที่ชายหาดในเวลาต่อมา

* 5 มิถุนายน – กระทรวงคมนาคม ได้แจ้งให้หน่วยงานในสังกัดที่ให้บริการขนส่งสาธารณะทุกระบบสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ 100 % ทั้งรถโดยสารสาธารณะ (รถทัวร์) ทั่วประเทศ รถไฟทางไกลและเครื่องบิน

*
* 9-10 กรกฎาคม – คณะผู้บัญชาการทหารบก สหรัฐอเมริกา เดินทางมาประเทศไทย และสามารถเข้ามาปฏิบัติภารกิจได้โดยไม่ต้องกักกันตัว

* 12 กรกฎาคม – ศบค. เห็นชอบมาตรการ ผ่อนคลายผู้ไม่มีสัญชาติไทย เข้ามาในราชอาณาจักรไทย สำหรับกลุ่ม Medical Program (medical quarantine) โดยกำหนดเกณฑ์การเข้ามาและเลือกประเทศที่เสี่ยงต่ำถึงปานกลางก่อน

* 13 กรกฎาคม – เกิดเหตุการณ์ทหารอียิปต์ติดเชื้อ ไม่ให้ความร่วมมือตรวจหาเชื้อ และยังออกนอกโรงแรมกักกันโรค ที่จังหวัดระยอง และพบว่ามีการออกไปเดินห้างสรรพสินค้า และเด็กหญิงอายุ 9 ขวบลูกสาวอุปทูตติดเชื้อและเดินทางเข้ามาพักที่คอนโดส่วนตัวใน กทม.

* 20 – 24 กรกฎาคม – องค์การอนามัยโลกและองค์กรเครือข่ายดำเนินการสรุปบทเรียนการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศไทย และดำเนินการถ่ายทำสารคดีสะท้อนความสำเร็จในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกที่ 1 ของประเทศไทย

* 11 สิงหาคม – เกิดกรณีที่มีชายชาวญี่ปุ่นติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หลังเดินทางกลับจากไทย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ซึ่งการตรวจหาเชื้อของประเทศญี่ปุ่น เป็นการตรวจที่สนามบิน โดยใช้วิธี CLEIA (ChemiLuminescent Enzyme ImmunoAssay) โดยใช้ตัวอย่างน้ำลาย ซึ่งต่อมาเมื่อทำการตรวจยืนยันก็พบว่าผู้เดินทางคนดังกล่าวไม่ได้ติดเชื้อ

* 17 สิงหาคม – เกิดกรณีชาวมาเลเซียติดเชื้อโควิด 19 หลังเดินทางกลับจากไทย ในประเทศไทยได้ดำเนินการสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัส พบว่าผู้สัมผัสทุกรายไม่มีผู้ใดติดเชื้อ

* 15 กันยายน – ครม. อนุมัติหลักการแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) ให้คนต่างด้าวที่มีคุณสมบัติครบตามเกณฑ์ที่กำหนด ในขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานและ ศบค. อนุมัติให้จังหวัดจันทบุรีเป็นจังหวัดนำร่องเปิดรับแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานเพื่อแก้ปัญหาความต้องการแรงงาน และอนุญาตแรงงานกัมพูชาเป็นชุดแรกจำนวน 500 ราย ผ่านจุดผ่านแดนถาวรหมู่บ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

* 28 กันยายน – ศบค. มีมติอนุญาตบุคคล 6 กลุ่ม เดินทางเข้าไทย เช่น นักกีฬาต่างชาติที่จะเข้ามาแข่งขันกีฬาจักรยานทางไกล นักบินและลูกเรือ ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทอยู่ชั่วคราวประเภทต่างๆ ผู้ถือวีซ่าท่องเที่ยวสำหรับกลุ่ม long stay ผู้ถือบัตร APEC Card เป็นต้น

* 1 ตุลาคม – มีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ที่สำคัญคือมีท่านปลัดกระทรวง อธิบดีกรมควบคุมโรค อธิบดีกรมอนามัย และอธิบดีกรมสุขภาพจิต ท่านใหม่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่

* 9 ตุลาคม – กรมควบคุมโรค เริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการระบาดระลอกใหม่อย่างจริงจัง ด้วยการยกระดับและปรับปรุงสมรรถนะด้านต่างๆ ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น ทั้งการปรับปรุงแนวทางการควบคุมโรค การจัดสถานกักกันเพิ่มเติม การวางระบบเฝ้าระวังและตรวจจับในหลายระดับ การเพิ่มจำนวนหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรค 3 เท่าจากที่มีอยู่ 1,000 ทีม การเตรียมความพร้อมระบบบัญชาการเหตุการณ์ทุกการขยายศักยภาพด้านการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เป็นต้น

* 16 ตุลาคม – เริ่มพบผู้ติดเชื้อโควิดที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

* 15 ตุลาคม – กระทรวงสาธารณสุข สยามไบโอไซเอนซ์ เอสซีจี ประกาศความร่วมมือกับแอสตราเซเนกา และมหาวิทยาอ๊อกฟอร์ดผลิตวัคซีนโควิด-19 เป็นชาติแรกในอาเซียน

* 17 ตุลาคม – ผู้ว่าราชการจังหวัดตากประกาศปิดกิจการที่มีความเสี่ยง จำกัดการเดินทางเข้าออกพื้นที่เสี่ยง เพิ่มความเข้มงวดมาตรการป้องกันควบคุมโรค ปิดด่านขนส่งสินค้า และเข้มงวดป้องกันการเดินทางเข้าออกผ่านทางช่องทางธรรมชาติ

* 21 ตุลาคม – พบผู้ติดโรคโควิด 19 ในประเทศไทย เป็นนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศส วัย 57 ปี ซึ่งได้รับการกักตัวครบ 14 วันในสถานกักกันทางเลือกแล้ว คาดว่าอาจจะเป็นการติดเชื้อระหว่างที่กักกันตัวอยู่ในสถานที่กักกันทางเลือก ซึ่งนำไปสู่การเข้มงวดวิธีปฏิบัติในสถานกักกันทางเลือก

* 26 ตุลาคม – สถานการณ์การระบาดที่แม่สอดเริ่มดีขึ้น จังหวัดตากจึงเริ่มมาตรการผ่อนคลาย และให้สามารถกลับมาเปิดด่านแม่สอดได้ภายใต้เงื่อนไขการดำเนินมาตรการป้องกันการติดเชื้อที่เคร่งครัด

* 30 ตุลาคม – พบแรงงานเมียนมาเข้าเมืองผิดกฎหมายผ่านทางชายแดนไทย-มาเลเซียติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่พัทลุง 1 ราย

* 8 พฤศจิกายน – กระทรวงสาธารณสุข มีแผนที่จะเริ่มนำร่องการกักตัว 10 วันในกลุ่มประเทศเสี่ยงต่ำหรือใกล้เคียงกับประเทศไทย

* 10 พฤศจิกายน – พบผู้ติดเชื้อในประเทศ 1 ราย อาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เพศชาย สัญชาติฮังการี อายุ 53 ปี อาชีพนักการทูต มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันที่เป็นชาวต่างชาติเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ที่โรงแรมสถานกักกันทางเลือก (ASQ)

* 17 พฤศจิกายน – ครม. มีมติเห็นชอบและอนุมัติงบประมาณ 6,049,723,117 บาท เพื่อจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้า และการจัดซื้อวัคซีนกับบริษัท AstraZeneca (Thailand) จำกัด และบริษัท AstraZeneca UK จำนวนวัคซีน 26 ล้านโด๊ส

* 28 พฤศจิกายน – พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ หญิงวัย 29 ปี จังหวัดเชียงใหม่ ว่า จากการสอบสวนทราบว่าได้เดินทางกลับจากทำงานที่ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และลักลอบเดินทางเข้าไทยผ่านทาง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย หลังจากนั้น ยังคงพบผู้ติดเชื้อเดินทางข้ามมาจากฝั่งท่าขี้เหล็กอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทางการจัดช่องทางพิเศษให้ผู้เดินทางเข้าพักสังเกตอาการที่ local quarantine จำนวนผู้ติดเชื้อที่ลักลอบเข้าประเทศจึงค่อยๆ ลดลง

* 9 ธันวาคม – ครม. มีมติอนุมัติผ่อนปรนให้ต่างด้าวที่เป็นนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa, STV) สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้โดยไม่จำกัดประเทศ แต่ยังคงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข การขอวีซ่า พร้อมแจ้งสถานที่พำนักในไทยให้ชัดเจน และยินยอมที่จะกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

* 17 ธันวาคม – พบผู้ติดเชื้อรายแรกในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจากการสอบสวนโรคในระยะต่อมาพบว่าได้มีการเกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่เกิดขึ้นมาสักระยะหนึ่งแล้วในสมุทรสาคร การระบาดระลอกใหม่นี้ได้ส่งผลกระทบต่อจังหวัดที่มีผู้เดินทางเข้ามายังสมุทรสาครอย่างกว้างขวาง การแพร่ระบาด

* 19 ธันวาคม – พบผู้ติดเชื้อยืนยันเป็นจำนวนมากจากการค้นหาผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร พบผู้ติดเชื้อสูงถึงร้อยละ 43 ของจำนวนตัวอย่างที่ตรวจทั้งหมด และในวันเดียวกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครได้ประกาศปิดตลาดกลางกุ้ง

* 20 ธันวาคม – พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นจำนวนหลักร้อยในรอบหลายเดือน โดยได้รายงานผู้ป่วยรายใหม่จำนวน 576 ราย แบ่งเป็นแรงงานต่างด้าว 516 ราย ติดเชื้อในประเทศ 19 ราย เป็นผู้ติดเชื้อที่อยู่ในสถานที่กักกันแห่งรัฐ 41 ราย

* 25 ธันวาคม – กระทรวงสาธารณสุขเปิดโรงพยาบาลสนาม บริเวณตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาคร โดยเริ่มเปิดให้บริการจำนวน 30 เตียง และสามารถขยายศักยภาพให้สามารถมีจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยได้สูงสุด 100 เตียง

* 26 ธันวาคม – สมุทรสาครเริ่มปฏิบัติการตรวจเชิงรุกเพื่อประเมินสถานการณ์ และควบคุมโรคโรค โดยตั้งเป้าที่จะตรวจโรงงานขนาดใหญ่ให้ได้ทุกแห่งภายใน 2 สัปดาห์

* 30 ธันวาคม – จังหวัดสมุทรสาครเปิดโรงพยาบาลสนามแห่งแรก ภายในวัดโกรกกราก

“เริ่มต้นปี 2564”

* 4 มกราคม – จังหวัดสมุทราสาครเปิดโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 สนามกีฬา อบจ.

* 8 มกราคม – อำเภอแม่สอดพบคนไทยติดโควิด 17 คน จาก 40 คน โดยคนไทยทั้ง 40 คนเป็นผู้เดินทางข้ามมาจากเมียนมา และเข้าสู่สถานที่กักกันภายในอำเภอแม่สอด

* 25 มกราคม ถึง 3 กุมภาพันธ์ – ช่วงเวลา 10 วันที่สมุทรสาครรายงานผู้ป่วยอย่างน้อย 733 คน

* 3 กุมภาพันธ์ – จังหวัดสมุทรสาครเริ่มดำเนินการควบคุมการระบาดและการจำกัดการแพร่ระบาดในโรงงานขนาดใหญ่ ๙ แห่ง โดยมีแผนจะปิดกั้นไม่ให้แรงงานของบริษัทออกมาปะปนกับประชาชนภายนอกเป็นเวลาอย่างน้อย ๔ สัปดาห์

* 9 กุมภาพันธ์ – พบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนในตลาดพรพัฒน์ ปทุมธานี

* 22 กุมภาพันธ์ – นักท่องเที่ยวจากยุโรปกลุ่มแรก 59 คน เดินทางถึง จ.ภูเก็ต พร้อมตรวจหาเชื้อโควิด-19 ก่อนเข้ากักตัวใน Villa Quarantine ที่โรงแรมศรีพันวา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งให้กักตัวเป็นเวลา 14 วัน ภายใต้มาตรการสาธารณสุข อย่างเคร่งครัด

* 24 กุมภาพันธ์ – วัคซีนซิโนแว็ค 200,000 โด๊สแรก ขนส่งถึงประเทศไทย

* 28 กุมภาพันธ์ – ประเทศไทยเริ่มการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับกลุ่มเป้าหมายจำนวน 254 คน ที่สถาบันบำราศนราดูร 95 คน และที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร 159 คน

* 1 มีนาคม – กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สมุทรปราการ จังหวัดสุราษฎร์ธานีเริ่มการฉีดวัคซีนเข็มแรกของจังหวัด ในขณะที่จังหวัดสมุทรสาครมีคำสั่งปิดศูนย์ห่วงใยคนสาครแห่งที่ 3 โครงการวัฒนาแฟคตอรี่

* 2 มีนาคม – ครม. อนุมัติงบประมาณ 6,387,285,900 บาทเพื่อจัดซื้อวัคซีนโควิด 19 จำนวน 35 ล้านโด๊ส

* 3 มีนาคม – จังหวัดสมุทรสาครออกคำสั่งเรื่อง ผ่อนปรนมาตรการคุมโควิด-19 โดยลดระดับจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด

* 8 มีนาคม – วัคซีนบริษัทแอสตราเซเนกาส่งถึงไทย จำนวน 117,000 โดส ในขณะที่จังหวัดสมุทรสาครทำการเปิดศูนย์ห่วงใหญ่คนสาคร แห่งที่ 10 ร่วมกับสภาอุตสาหกรรม

* 12 มีนาคม – นายกรัฐมนตรีเลื่อนฉีดวัคซีน เนื่องจากมีกระแสข่าวกระทรวงสาธารณสุขเดนมาร์กประกาศระงับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซเนกาเป็นการชั่วคราว หลังมีรายงานกรณีการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ที่ได้รับวัคซีนบางราย ในวันเดียวกัน ในกรุงเทพมหานครได้มีการตรวจพบผู้ป่วยเป็นกลุ่มก้อนในตลาดบางแค

* 16 มีนาคม – นายกรัฐมนตรีได้รับการฉีดวัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา

* 17 มีนาคม – อนุมัติและเริ่มฉีดวัคซีนฉุกเฉินในกลุ่มเสี่ยงที่มีความเกี่ยวข้องกับ Cluster บางแค โดยได้มีการเตรียมวัคซีนรองรับไว้ 6,000 โด๊ส

* 3 เมษายน – สำนักอนามัย กทม. เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 13 คน ที่ไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อ 3 แห่ง ได้แก่ Krystal Club, ลาบลาบาร์ และเบียร์เฮ้าส์ย่านทองหล่อ-เอกมัย นับเป็นการระบาดระลอกที่ 3 ของประเทศไทย ซึ่งการแพร่ระบาดก่อนช่วงสงกรานต์ ซึ่งต่อมาได้ก่อให้เกิดการระบาดแพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว และยังคงมีสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงจนถึงปัจจุบัน

* 27 เมษายน – เริ่มพบการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อนในชุมชนคลองเตย

* 30 เมษายน – กระทรวงสาธารณสุขเปิดศูนย์แรกรับส่งผู้ป่วยโควิด-19 ที่อาคารนิมิตบุตร เพื่อช่วย กทม. ในการจัดการผู้ติดเชื้อ

* 4 พฤษภาคม – เริ่มฉีดวัคซีนเพื่อหวังผลในการควบคุมโรคในชุมชนคลองเตย

* 14 พฤษภาคม – วันที่ 500 – Day 500 – นายกรัฐมนตรีเปิดโรงพยาบาลสนามขนาด 5,200 เตียง ภายในอาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีอาการปานกลาง

หมอแก้ว กล่าวว่า 500 วันผ่านไปแล้ว สถานการณ์เดินมาจนถึงวันนี้ วันที่สถานการณ์การระบาดในประเทศไทยถือได้ว่าอยู่ในระดับที่ ‘รุนแรงที่สุด’ เท่าที่เราเผชิญมา ผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วครับ ที่ทุกคนจะต้องลุกขึ้นสู้กับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

ตอนที่ไฟไหม้ เราควรจะเร่งรีบดับไฟ ไม่ใช่ไปยืนด่าไฟที่กำลังไหม้ หรือกล่าวโทษใครบางคนหรืออะไรบางอย่างที่เราคิดไปเองว่าอาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ หากการทะเลาะกัน ทำให้การดับไฟทำได้ช้าลง หยุดทะเลาะกันแล้วหันมาร่วมมือกันดับไฟก่อนดีกว่ามั้ยครับ น้ำลายดับไฟไม่ได้ครับ หยุดพูดแล้วเริ่มลงมือทำ บางคนอาจต้องวางมือจากสิ่งที่กำลังจดจ่ออยู่ตรงหน้า
มาช่วยกันดับไฟก่อนเถอะครับ ละทิ้งตัวตน ละทิ้งอัตตาแล้วมาช่วยกัน

จริงๆ แล้วคนไทยทุกคนกำลังอยู่ในช่วงสงคราม และเราก็มีศัตรูตัวเดียวกัน แม้บางคนอาจจะหลงลืมความจริงข้อนี้ไปชั่วขณะ แทนที่จะจัดการศัตรู กลับหันไปส่งเสริมศัตรู-หยุดเถอะครับ จะทำอย่างไรจึงจะจัดการกับศัตรูได้ มาถึงวันนี้ แทบไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้ครับ เหลือแค่ลงมือทำ เริ่มที่ตัวเรา ทำในส่วนที่เราทำได้ ทำให้ดีที่สุด จากนั้น จึงเริ่มสนับสนุนคนอื่นที่กำลังได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ ถึงเวลาต้องรวมใจเป็นหนึ่ง ถึงเวลาที่เราต้องรวมแรงร่วมใจกันอีกครั้งครับ

“ผมมั่นใจเสมอว่าถ้าเราสามัคคีกัน ช่วยกันจริงๆ #เราจะชนะไปด้วยกัน” หมอแก้ว กล่าว

ที่มา : https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=3732839260159081&id=100002991325094

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า