คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สรุปผลการวิจัยวัคซีนโควิด-19 ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยวัคซีนซิโนฟาร์ม, แอสตร้าเซนเนก้า, ไฟเซอร์ ครึ่งโดส และไฟเซอร์ เต็มโดส กับผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคหรือแอสตร้าฯ ครบ 2 เข็ม
วันที่ 16 ต.ค. 2564 ศูนย์วิจัยคลินิก SICRES คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยผลวิจัยล่าสุดถึงการศึกษาภูมิคุ้มกันหลังฉีดเข็มกระตุ้นเข็มที่ 3 หลังจากที่ได้วัคซีนซิโนแวค (Sinovac) 2 เข็ม หรือวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา (AstraZeneca) 2 เข็ม สรุปได้ว่า
• วัคซีนซิโนแวค เป็น priming vaccine หรือวัคซีนเริ่มต้นที่ดี ซึ่งเมื่อฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย วัคซีนแอสตร้าเซนเนกา หรือ ไฟเซอร์ (Pfizer) จะให้ระดับภูมิคุ้มกันที่สูงมาก
สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ใช้เพียงครึ่งโดสก็ได้ภูมิคุ้มกันในระดับที่ใกล้เคียงกับการใช้วัคซีนเต็มโดส แนะนำให้ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยแอสตร้าเซนเนกา หรือไฟเซอร์เท่านั้น
• คำแนะนำสำหรับผู้ที่ฉีดแอสตร้าเซนเนกา 2 เข็ม ควรฉีดเข็มที่ 3 กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์เท่านั้น โดยอาจใช้เพียงครึ่งโดสก็ให้ผลภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกับการใช้วัคซีนเต็มโดส
สำหรับโครงการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการเกิดเชื้อกลายพันธุ์ของไวรัสก่อโรคโควิด-19 ทำให้เกิดความกังวลว่าประสิทธิภาพของการฉีดวัคชีนชิโนแวค หรือ แอสตร้าเซเนก้า 2 เข็ม ที่มีการใช้อย่างกว้างขวางในประเทศไทย อาจกระตุ้นระดับแอนติบอดีได้ไม่เพียงพอ การฉีดวัคซึนกระตุ้นเข็ม 3 มีความจำเป็น แต่ยังไม่ทราบแน่ว่าวัคซีนแต่ละชนิดที่อาจใช้กระตุ้นนั้น ให้ผลภูมิคุ้มกันที่แตกต่างกันอย่างไร
การศึกษานี้จึงได้วัดระดับภูมิต้านทานต่อโปรตีนหนาม (anti-recrptor binding domain : anti-RBD IgG) โดยวิธี chemiluminescent microparticle immunoassay และภูมิต้านทานในการกำจัดไวรัสสายพันธุ์เดลตา (50% plaque reduction neutralization test : PRNT50) รวมทั้งอาการข้างเคียงในอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 หลังจากได้รับวัคซีนครบสองเข็มมาแล้ว 2-3 เดือน
ผลการศึกษาเปรียบเทียบวัคซีนที่ใช้ฉีดกระตุ้น(เข็มที่ 3) ระหว่างวัคซีนซิโนฟาร์ม, แอสตร้าเซนเนก้า, ไฟเซอร์ ครึ่งโดส และไฟเซอร์ เต็มโดส พบว่า
– หลังได้รับวัคซีนสองเข็มประมาณ 8-12 สัปดาห์ ระดับภูมิคุ้มกันชนิด anti-RBD IgG ก่อนฉีดกระตุ้น มีค่าต่ำโดยเฉลี่ย 33-38 BAU/ml ในกลุ่มที่เคยฉีดซิโนแวค และ 90-116 BAU/ml ในกลุ่มที่เคยฉีด แอสตร้าเซนเนก้า
– ในผู้ที่ได้รับซิโนแวคแล้วสองเข็ม แล้วได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยไฟเซอร์ขนาดเต็มโดส มีระดับ anti-RBD IgG ขึ้นสูงสุดที่สุด (5,152 BAU/ml) รองลงมาเป็น วัคซีนไฟเซอร์ขนาดครึ่งโดส (3,981 BAU/ml) ซึ่งสูงกว่าการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนวัคซีนแอสตร้าฯเข็มที่สาม (1,358 BAU/ml) และวัคซีนซิโนฟาร์ม กระตุ้นได้น้อยที่สุด (155 BAU/ml)
– ในผู้ที่ได้รับแอสตร้าฯ แล้วสองเข็ม แล้วได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยไฟเซอร์ขนาดเต็มโดสมีระดับ anti-RBD IgG ขึ้นสูงสุดที่สุด (2,377 BAU/ml) รองลงมาเป็นวัคซีนไฟเซอร์ขนาดครึ่งโดส (1,962 BAU/ml) ซึ่งสูงกว่าการฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนชนิดอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนวัคซีนแอสตร้าฯเข็มที่สาม กระตุ้นสูงขึ้นน้อย (246 BAU/ml) และวัคซีนซิโนฟาร์ม กระตุ้นได้น้อยที่สุด (129 BAU/ml)
– ระดับภูมิยับยั้งเชื้อสายพันธุ์เดลตา วัดโดย PRNT50 ในผู้ที่ได้รรับซิโนแวคมาแล้วสองเข็มพบว่า กระตุ้นด้วยวัคซีนไฟเซอร์ขนาดครึ่งโดส ระดับไตเตอร์สูงที่สุด (499) รองลงมาเป็นวัคซีนไฟเซอร์เต็มโดส(411) วัคซีนแอสตร้าฯ (271) และวัคซีนซิโนฟาร์ม(61)
– ในผู้ที่ได้รับแอสตร้าฯแล้วสองเข็ม วัคซีนไฟเซอร์เต็มโดสได้สูงที่สุด (520) รองลงมาเป็นวัคซีนไฟเซอร์ครึ่งโดส (358) โดยวัคซีนไฟเซอร์กระตุ้นได้สูงกว่าแอสตร้าฯ (70) และซิโนฟาร์ม (49)
– อาการไม่พึงประสงค์ที่พบจากการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 มีเล็กน้อยถึงปานกลางในทุกวัคซีน