‘ปลาหมอคางดำ’ ปลาที่มีถิ่นฐานอยู่มาจากแอฟริกา ยังคงถูกจับตาหลังระบาดแล้วอย่างน้อย 16 จังหวัด โดยข้อมูลกรมประมงยันมีบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวที่นำเข้ามาวิจัยอย่างถูกกฎหมายก่อนที่จะยุติ แต่ข้อมูลนี้กลับขัดแย้งกับฝั่งบริษัทผู้นำเข้า (ซีพีเอฟ) ที่แจงว่ามีการทำลายและแจ้งพร้อมส่งตัวอย่างให้แล้ว ขณะที่ การแถลงข่าววันนี้ (17 ก.ค. 2567 ) อธิบดีกรมประมงยืนยัน “ไม่พบหลักฐานการรับตัวอย่างและขวดตัวอย่างดังกล่าว” ทั้งแจง 6 มาตรการจัดการเร่งด่วน
สำนักข่าว TODAY ร่วมฟังการแถลงข่าวครั้งแรก นำโดย นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง ถึงแนวทางการจัดการปัญหา และลดการเจริญเติบโตของปลาหมอคางดำ เพื่อรักษาไว้ซึ่งระบบนิเวศทางประมงที่ดี รวมถึงการเอาผิดทางกฎหมายกับบริษัท หรือบุคคลที่เป็นต้นเหตุการแพร่กระจาย
6 มาตรการ โดยกรมประมง
1. แก้ไขกฎหมายหรือผ่อนปรนใช้เครื่องมืออวนรุน และเปิดทางให้แต่ละจังหวัดใช้เครื่องมือประมงอื่นๆ เพื่อกำจัดปลาหมอคางดำ
2. ปล่อยปลานักล่า คือ ปลากะพงขาวและปลาอีกง 226,000 ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติใน 7 จังหวัด กรมประมงยืนยันว่า ปลาหมอคางดำโตเต็มวัยก็กินปลานักล่าที่กำลังจะปล่อยไม่ได้
3. นำปลาหมอคางดำ ไปใช้ประโยชน์ผลิตเป็นปลาป่นได้ พร้อมเชิญชวนประชาชนนำไปประกอบอาหาร ซึ่งทำได้ทั้งคั่วกลิ้ง ทอดเกลือ ฉู่ฉี่ น้ำยาขนมจีน ต้มยำ แดดเดียว ทอดมัน ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ปลาหมอคางดำเป็นวัตถุดิบได้
4. สำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของปลาหมอคางดำ ในพื้นที่เขตกันชน แล้วนำมาจัดระบบหาตำแหน่งที่อยู่ ก่อนจะกำจัดต่อไป
5. สร้างความรับรู้และความตระหนักให้กับประชาชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมทั้งในเรื่องจัดการและนำมาใช้ประโยชน์
6. ทำวิจัยเหนี่ยวนำชุดโครโมโซม 4 ชุด (4n) ทำให้ปลาหมอคางดำเป็นหมัน จากนั้นจะปล่อยปลาหมอคางดำพิเศษเหล่านี้ลงสู่แหล่งน้ำ เพื่อให้ไปผสมพันธุ์กับปลาหมอคางดำปกติ ที่มีชุดโครโมโซม 2 ชุด (2n) การผสมพันธุ์เช่นนี้ ก็จะทำให้เกิดลูกปลาหมอคางดำที่มีชุดโครโมโซม 3 ชุด (3n) กลายเป็นปลาหมอคางดำที่ไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้
ทั้งนี้ อธิบดีกรมประมง ยังพูดถึงกระแสสังคมที่มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องต้นตอของการแพร่ระบาด โดยอธิบดีกรมประมง อธิบายว่า ได้มีการขออนุญาตนำเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อวิจัยปรับปรุงพันธุ์จากบริษัทแห่งหนึ่ง (ซีพีเอฟ) จำนวน 2,000 ตัว เมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2553 ผ่านด่านกักสัตว์สุวรรณภูมิ แล้วนำมาทดลองที่ศูนย์วิจัยสัตว์น้ำจืด จ.สมุทรสงคราม โดยการอนุญาตครั้งนั้น กรมประมง มีเงื่อนไข 2 ข้อ คือ
1. ต้องส่งตัวอย่างปลา โดยจะเป็นการดองปลาทั้งตัวในโหลฟอร์มาลีน หรือจะเก็บเป็นตัวอย่างเนื้อเยื่อเพื่อใช้ในการตรวจดีเอ็นเอก็ได้
และ 2. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง เมื่อเดือน ม.ค.ปี 2554 ผู้นำเข้าระบุว่า ทำลายตัวอย่างทั้งหมดเรียบร้อยแล้วนั้น กรมประมงได้ดำเนินการตรวจสอบจากหนังสือรับแจ้งในช่วงปี 2553-2554 ไม่พบการนำส่งตัวอย่างปลาหมอคางดำ 50 ตัว ว่าบันทึกในสมุดลงทะเบียน รวมทั้งไม่มีตัวอย่างขวดโหลดองปลาตามที่บริษัทกล่าวอ้างแต่อย่างใด ซึ่งขัดแย้งกับบริษัทผู้นำเข้าที่อ้างว่า นำส่งตัวอย่างปลาหมอคางดำให้กรมประมงแล้ว
“ฉะนั้นถ้าบริษัทดังกล่าวมีข้อมูล ต้นเอกสารหรือถ้ามีบุคคลที่มีข้อมูลที่จะร่วมกันแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อที่จะตรวจสอบสัตว์น้ำที่หลุดว่าเกิดจากเหตุใด ควรออกมาร่วมกันพิสูจน์ความรับผิดชอบของมนุษย์มีสองส่วน 1. คือตามที่กฎหมายบอกไว้ความรับผิดชอบอย่างที่ 2. คือการรับผิดชอบต่อสังคมให้สังคมเดินไปได้ควรแสดงตัวออกมาเพื่อจะรับผิดชอบ กรมประมงยืนยันว่าตั้งแต่ปี 2553 ถึงปัจจุบันมีเพียงบริษัทเดียวเท่านั้นที่นำเข้ามา ยังไม่มีเอกชนรายอื่น”
อธิบดีกรมประมง กล่าวทิ้งท้ายว่า กรมประมงจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อหาสาเหตุของการที่ปลาหมอคางดำหลุดเข้าสู่แหล่งน้ำธรรมชาติของไทย ทั้งนี้การสอบสวนไม่ได้เป็นการเอาผิดผู้ใด แต่ทำเพื่อหาข้อมูลของปัญหา หากพบว่าเรื่องนี้มีสิ่งใดที่เจือปนทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงจึงค่อยดำเนินการเอาผิด
พบ ‘ปลาหมอคางดำ’ ระบาด ใน กทม. แล้ว 3 เขต ‘บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน’