เปิดใจแรงงานชาวเมียนมา พาลูกอพยพเข้าไทยเพราะอยากให้ลูกได้เรียนหนังสือ

“ตอนนั้นทำงานอยู่ที่รัฐฉาน ทำงานไร่ งานสวน มีลูก ก็ยังไม่ได้เรียน ต้องหาช่องทางที่จะให้ลูกได้เรียน ก็เลยเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ให้ลูกได้มีการศึกษา และเราก็ได้ทำงานด้วย”

นี่เป็นคำตอบแรก ของนายจิ่ง ลุงสา อายุ 27 ปี ผู้ปกครองนักเรียนบ้านบวกครกน้อย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เมื่อถูกถามถึงเหตุผลที่อพยพมาอาศัยอยู่ที่ประเทศไทยเมื่อ 10 ปีก่อน

นายจิ่ง เล่าว่า แต่ก่อนทำงานที่อยู่บ้านเกิด ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เข้ามาทาง ท่าขี้เหล็ก อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพราะสถานการณ์ความเป็นอยู่ตอนนั้นไม่ดี เขาต้องทำงานในไร่ ทำให้คิดอยากจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

“อยู่ที่บ้านไม่มีเงิน ตอนนั้นที่บ้านมีแต่การสู้รบ ลูกก็ไม่ได้เรียนแน่นอน ผมก็เลยคิดหาทาง ว่าที่ไหนมีโอกาส ทางไหนที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น”

เขาพาลูกเมียเดินทางมาประเทศไทยตอนลูกอายุ 3 ขวบ เริ่มทำงานก่อสร้าง และให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนที่ อ.สันกำแพง และมาเข้าชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่บ่อสร้าง ก่อนย้ายมาที่โรงเรียนบ้านบวกครกน้อยได้ 2 ปีแล้ว เพราะพ่อมาทำงานอยู่ที่นี้ในอาชีพช่างทำกุญแจรถ เขารู้สึกดีใจมากที่ลูกมีโอกาสได้เข้าเรียน ที่นี่สอนทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และเขาหวังว่าการศึกษาจะทำให้ลูกมีอนาคตที่ดีกว่าที่พ่อแม่เป็นอยู่ตอนนี้

แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ ไม่มีใครที่ไม่อยากให้ลูกเรียน
นายจิ่งยังเล่าอีกว่า แรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ ที่มีลูก ไม่มีใครไม่อยากให้ลูกเรียนหนังสือ แต่เพราะด้วยหน้าที่การงานไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากส่วนใหญ่ทำอาชีพกรรมกร งานก่อสร้าง ที่ต้องย้ายที่อยู่ไปตามจุดที่ทำงาน เสร็จที่หนึ่ง ก็ย้ายไปอีกที่หนึ่ง เด็กก็ต้องย้ายตามไปด้วย อย่างก่อนหน้านี้เขาเองก็ทำงานก่อสร้างมาก่อน ที่จะมาทำงานช่างกุญแจ ลูกก็ต้องย้ายโรงเรียนตามมาเรื่อยๆ

“ที่ทำงาน กำโรงเรียนจำเป็นต้องอยู่ใกล้กันมากที่สุด เพื่อให้เราได้มีโอกาสดูแลลูก ได้ไปรับไปส่งเขาที่โรงเรียน”

ตอนนี้ลูกชายของนายจึง เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แล้ว ลูกของเขาได้เรียนทุกอย่างเหมือนเด็กไทย โดยเฉพาะเรื่องภาษา เขามีความหวังและตั้งใจว่า อยากให้ลูกชายได้ทำอาชีพช่างเทคนิค เพราะเชื่อว่าจะหางานทำง่าย และเป็นงานที่มีทักษะหลายอย่าง หากมีโอกาส จิ่งและครอบครัว ก็อยากอยู่ที่ประเทศไทยตลอดไป เพราะเป็นประเทศที่มีโอกาสในการทำมาหากิน ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งการเดินทาง สภาพความเป็นอยู่ ต่างจากบ้านเกิดที่เขาจากมา

โดยครั้งนี้เขาได้มีโอกาส เข้าพบกับ นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์กรยูนิเซฟ ประเทศไทย และ ฯพณฯ เปียร์ก้า ตาปิโอลา เอกอัครราชฑูตสหภาพยุโรป ประจำประเทศไทย ที่เดินทางมาเยี่ยมชมโรงเรียนที่ลูกชายศึกษาอยู่ ก็ได้แลกเปลี่ยนข้อมูล และสะท้อนปัญหาของเด็กๆ ที่ไร้สัญชาติ รวมทั้งเด็กที่ติดตามพ่อแม่มาอยู่เมืองไทยด้วย