Friends ออกอากาศตอนแรกที่สหรัฐอเมริกาบนช่อง NBC ในปี 1994 ซึ่งตอนนั้นสถานีเร่งโปรโมทช่วงเวลาค่ำถึงดึกของวันพฤหัสด้วยสโลแกน “Must See TV” หรือทีวีที่ต้องดู และ Friends ก็ทำให้มันกลายเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องเปิดทีวีรอดูซีรี่ส์เรื่องนี้จริงๆ
Friends ออกอากาศทั้งหมด 10 ซีซั่นตั้งแต่ปี 1994-2004 รวม 236 ตอน นับแล้วตกซีซั่นละ 24 ตอน ซึ่งถือว่าเป็นงานมหาโหดในการเร่งผลิตซีรี่ส์ให้ได้มากถึง 24 ตอนในหนึ่งปี เมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 13 ตอนต่อซีซั่น
Friends ทั้ง 6 คนประกอบไปด้วย
เรเชล กรีน แสดงโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน
รอสส์ เกลเกลอร์ แสดงโดย เดวิด ชวิมเมอร์
โมนิก้า เกลเลอร์ แสดงโดย คอร์ตนี่ย์ ค็อกซ์-อาร์เค็ตต์
ฟีบี้ บุฟเฟ่ย์ แสดงโดย ลิซ่า คูโดรว์
แชนด์เลอร์ บิง แสดงโดย แมทธิว แพร์รี่
และ โจอี้ ทริบบิอานี่ แสดงโดย แมตต์ เลอบลังก์
ก่อน Friends นักแสดงทั้ง 6 คนถือว่าเป็นนักแสดงที่ยังไม่โด่งดัง การรวมตัวของพวกเขา แม้จะถูกวางอยู่ในช่วงเวลายุทธศาสตร์ที่สำคัญของ NBC แต่ก็ไม่มีใครคาดว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จ กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทุกวันนี้ก็ยังคงพูดถึง แม้จะผ่านเวลามานานกว่า 17 ปีจากวันสุดท้ายที่ออกอากาศ
พวกเขาได้รับเงินค่าตัวก้าวกระโดดในทุกซีซั่น
ซีซั่น 1 ได้คนละ 22,500 เหรียญสหรัฐต่อตอน
ซีซั่น 2 ได้คนละ 20,000-40,000 เหรียญสหรัฐต่อตอน
ซีซั่น 3 ได้คนละ 75,000 เหรียญสหรัฐต่อตอน
ซีซั่น 4 ได้คนละ 85,000 เหรียญสหรัฐต่อตอน
ซีซั่น 5 ได้คนละ 100,000 เหรียญสหรัฐต่อตอน
ซีซั่น 6 ได้คนละ 125,000 เหรียญสหรัฐต่อตอน
ซีซั่น 7-8 ได้คนละ 750,000 เหรียญสหรัฐต่อตอน
ซีซั่น 9-10 ได้คนละ 1,000,000 เหรียญสหรัฐต่อตอน
จะเห็นได้ว่ามีเพียงแค่ซีซั่นเดียวที่ดารานำทั้ง 6 คนได้ค่าตัวไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะพวกเขารวมตัวกันยื่นคำขาดว่าทั้ง 6 คนต้องได้ค่าตัวเท่ากัน ก่อนจะเริ่มถ่ายทำในซีซั่นที่ 3 และนักวิเคราะห์หลายคนก็มองว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน สามัคคีกัน แม้แต่ละคนจะมีชื่อเสียงเติบโตตามความนิยมของซีรี่ส์ก็ตาม
มอง Friends ผ่านหลักเศรษฐศาสตร์
The Economist บอกว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Friends ได้รับความนิยมอย่างมากเป็นเพราะคนดูรู้สึกใกล้ชิดกับตัวละคร ที่ต้องเติบโตผ่านปัญหาในครอบครัว ในที่ทำงาน และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องเพื่อนและความสัมพันธ์รักๆ เลิกๆ
ที่ผ่านมามีข้อสังเกตว่า Friends มีความไม่สมจริงอยู่ เพราะตัวละครส่วนใหญ่ทำงานระดับทั่วไป ไม่น่าจะหารายได้มาเช่าอพาร์ทเมนท์ขนาดใหญ่ มีเวลานั่งจิบกาแฟตอนกลางวัน หรือกระทั่งมีเวลาให้กับเรื่องความรัก การออกเดต ได้แบบที่เห็นในซีรี่ส์
ความไม่สมจริงตรงนี้ก็เหมือนสูตรโกงนิดหน่อย ที่ช่วยให้คนดู Friends ได้เสพเส้นเรื่องความรักดราม่าน่าตื่นเต้น ท่ามกลางบรรยากาศใจกลางมหานครนิวยอร์กที่สวยงาม แถมยังมีตัวละครที่ผู้คนรักได้ไม่ยาก เพราะมีอาชีพและไลฟ์สไตล์ที่ดูธรรมดา เทียบกับซีรี่ส์ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กในช่วงเวลาเดียวกันอย่าง Sex and the City ที่ไลฟ์สไตล์จะหรูหรากว่าทำให้คนรู้สึกเข้าถึงได้ยากกว่า
ความสำเร็จที่ยืนยงยาวนาน 27 ปี
NETFLIX ยอมจ่ายวอร์เนอร์เจ้าของ Friends ด้วยเงินสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับลิขสิทธิ์ในการนำมาฉาย ถ้านึกไม่ออกว่า NETFLIX จ่ายแพงขนาดไหน ให้เทียบกับค่าผลิต The Crown ที่อยู่ที่ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นซีรี่ส์ต้นทุนสูงที่สุดใน NETFLIX แล้วก็ว่าได้
ด้วยมุกตลกที่เรียบง่าย ไม่ต้องปีนบันไดดู ทำให้ Friends เข้าถึงคนได้ง่ายกว่าซีรี่ส์ที่ว่ากันว่าตลกกว่าอย่าง Seinfeld แต่ในเวลาเดียวกันมุกก็ซับซ้อนกว่าด้วย ทำให้ทุกวันนี้ยังมีคนเข้าไปค้นหาคำว่า Friends ที่หมายถึงตัวซีรี่ส์นี้มากกว่าซีรี่ส์ระดับท็อปเรื่องอื่นๆ ที่แจ้งเกิดในยุคเดียวกันอย่าง The Office หรือ How I Met Your Mother ก็ตาม
ถึงวันนี้ Friends ก็ถูกตั้งคำถามอยู่บ้างทั้งในเรื่องการคัดเลือกนักแสดงผิวขาวล้วนๆ หรือมุกตลกหลายอันที่ถ้าออกอากาศวันนี้ก็อาจจะดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เช่นการแซวโมนิก้าอ้วน แต่ด้วยเพราะหัวใจหลักของเรื่องคือความสัมพันธ์ทั้งรูปแบบเพื่อนและคนรัก ที่ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนเชื่อมโยงได้ ก็ทำให้ Friends ยังคงครองใจคนได้จนถึงวันนี้