ผอ.มูลนิธิศักยภาพชุมชน ยื่นขอต่างชาติทำงานสิทธิมนุษยชนในไทย แก้ 3 รอบไม่ผ่าน สำนักงานจัดหางานอ้างกระทบความมั่นคง 

29 ธ.ค.65 เวลา 10.20 น. ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ประธานมูลนิธิศักยภาพชุมชนเดินทางมายังสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 4 เขตบางกะปิ เพื่อยื่นเอกสารคำขอ บต.32 (คำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว) ให้ชาวต่างชาติสองรายที่เตรียมเดินทางมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอาเซียนในประเทศไทยร่วมกับมูลนิธิศักยภาพชุมชน  ซึ่งถือเป็นครั้งที่สามแล้วที่ชลิดาเดินทางมายังสำนักงานจัดหางาน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่อนุมัติเอกสาร บต.32 ทำให้ชาวต่างชาติไม่สามารถเข้ามาทำงานร่วมกับมูลนิธิได้

ชลิดากล่าวว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่สำนักงานแจ้งว่าไม่สามารถอนุมัติเอกสาร บต.32 ของชาวต่างชาติทั้งสองรายได้ เนื่องจากวัตถุประสงค์การเดินทางมายังประเทศไทยที่ระบุในเอกสารเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ และทำการส่งคืนให้ชลิดาแก้ไขวัตถุประสงค์ให้ตรงกับวัตถุประสงค์ในเอกสารการก่อตั้งมูลนิธิ แต่เมื่อชลิดาทำการแก้ไขตามที่สำนักงานจัดหางานแจ้งและยื่นเอกสารอีกครั้งหนึ่ง ทางสำนักงานยังคงปฏิเสธการอนุมัติเอกสาร บต.32 เช่นเดิม ตนจึงเดินทางมายังสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครอีกครั้งในวันนี้เพื่อขอคำชี้แจงการปฏิเสธการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่

มูลนิธิศักยภาพชุมชนเป็นมูลนิธิภาคประชาสังคมที่ดูแลปัญหาสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียและกลุ่มประเทศอาเซียน เช่นปัญหาสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์ และปัญหาสิทธิมนุษยชนของชาวเมียนมาร์ ข้อมูลสัญชาติและหน้าที่ของผู้ที่จะเดินทางมาร่วมงานกับมูลนิธิ รายแรกมีสัญชาติสเปนทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกอบรมด้านสิทธิมนุษยชน และรายที่สองเป็นชาวเมียนมาร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการศึกษา มูลนิธิจึงได้ทำหนังสือ บต.32 ถึงสำนักงานจัดหางานกรุงเทพฯ เพื่อขออนุญาตการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยของชาวต่างชาติทั้งสอง

หัวหน้าสำนักงานจัดหางาน ฝ่ายตรวจและคุ้มครองคนหางานได้อธิบายสาเหตุที่ไม่อนุมัติเอกสารดังกล่าว โดยระบุว่าเอกสารจะต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานผู้ก่อตั้งมูลนิธิก่อน เช่น กรมการปกครอง กรมการศาสนา ฯลฯ สำนักงานจัดหางานจึงจะสามารถอนุมัติ บต.32 ของมูลนิธิได้ ส่วนกรณีของผู้ที่ถือสัญชาติเมียนมาร์ เป็นกรณีที่ต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานด้านความมั่นคงก่อนเนื่องจากอ้างว่าเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ

หัวหน้าสำนักงานปฏิเสธระบุข้อกฎหมายที่กำหนดว่ากรณีดังกล่าวเป็นกรณีความมั่นคงและจำเป็นต้องเรียกเอกสารเพิ่มแก่ผู้ร้อง เพียงเน้นย้ำให้ระบุวัตถุประสงค์เพิ่มในเอกสาร บต.32 ให้ตรงกับเอกสารการจัดตั้งมูลนิธิศักยภาพชุมชน 

สำนักงานจัดหางานมีหน้าที่ในการรับผิดชอบการอนุมัติการเข้ามาทำงานในประเทศไทยของชาวต่างชาติ ส่วนการรับรองการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติอยู่ในดุลพินิจของแต่ละหน่วยงานผู้ก่อตั้งมูลนิธิว่าจะรับรองหรือไม่ แต่หากมีการรับรองจากหน่วยงานดังกล่าวแล้ว สำนักงานจัดหางานจะอนุญาตเอกสารการรับรองให้ทั้งหมด ทั้งนี้ชลิดายืนยันว่าเอกสารการขอเข้าประเทศของชาวต่างชาติทั้งสองรายได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว แต่สำนักงานจัดหางานยังคงเรียกเอกสารเพิ่มโดยไม่ระบุที่มาของความจำเป็น

นโยบายการอนุมัติให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศถูกวิพากษ์วิจารณ์การรับรองเอกสารกรณีที่ไม่ใช่ภาคธุรกิจเสมอ โดยเอกสารการรับรองในภาคธุรกิจมีเพียงคำขออนุญาตจากสถาบันที่ขอให้ต่างด้าวพำนักในราชอาณาจักร แต่ในส่วนขององค์กรหรือมูลนิธิภาคประชาสังคมต้องอาศัยทั้งเอกสารคำขออนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว (บต.32) และเอกสารการรับรององค์กรหรือมูลนิธิจากหน่วยงานผู้ก่อตั้งโดยกรณีของชลิดาคือกระทรวงมหาดไทย อีกทั้งมูลนิธิจะต้องดูความเหมาะสมในการจ้างคน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดมาตรการที่ระบุความเหมาะสมดังกล่าวว่าจะต้องเป็นจำนวนกี่คน ขณะนี้ยังอยู่ที่การตีความในแต่ละกรณี จึงทำให้เกิดความสับสน 

ท่าทีของสำนักงานจัดหางานและหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองถูกจับตาจากสาธารณชนและหน่วยราชการฝ่ายตรวจสอบหลังจากการเปิดโปงขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ กรณี “ตู้ห่าว” ซึ่งมีชาวจีนหลายร้อยรายได้รับอนุญาตให้พำนักในประเทศไทยอย่างยาวนาน บางรายถูกเปิดโปงว่าเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจสีเทาผ่านขบวนการจัดตั้งมูลนิธิและสวมชื่อเป็นโรงเรียนภาษา ที่มีหน่วยงานดังกล่าวทำหน้าที่ในการอนุมัติชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย จึงถูกตั้งข้อสงสัยว่านี่เป็นความผิดพลาดของหน่วยงานดังกล่าวหรือไม่ต่อกรณีดังกล่าว 

“นี่หรือเปล่าเขาก็เลยมาเข้มกับเรา แต่จะใช้นโยบายเหมารวมทั้งหมดแบบนี้ไม่ได้ มันกระทบการทำงานภาคประชาสังคมทั้งที่ไม่เกี่ยวข้อง” ชลิดากล่าว