แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งสามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว จะสร้างความกังวลให้กับบรรดาประเทศต่างๆ เกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และภาระหนักที่จะตกอยู่กับระบบสาธารณสุขหากผู้ป่วยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่หลายๆ ประเทศก็เริ่มส่งสัญญาณในการให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตปกติอยู่กับโควิด-19 เพื่อลดผลกระทบทางสังคม จิตใจ และเศรษฐกิจที่ดำเนินมาต่อเนื่องนานกว่าสองปี รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ กับไทย อย่างมาเลเซีย และกัมพูชา
ล่าสุด รัฐบาลมาเลเซียเพิ่งประกาศเมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) ว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. นี้ คนในมาเลเซียจะไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่นอกอาคารอีกต่อไป ยกเว้นพื้นที่ภายในอาคาร เช่น ห้างสรรพสินค้า หรือระบบขนส่งมวลชน ที่ยังบังคับให้ต้องสวมหน้ากากอนามัยอยู่ ในขณะเดียวกัน ทางการมาเลเซียก็ยังคงยืนยันว่า ยังสนับสนุนให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเป็นหลักอยู่เมื่ออยู่ในพื้นที่โล่งแต่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก
การผ่อนคลายมาตรการสวมหน้ากากอนามัยในครั้งนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับมาตรการเปิดประเทศของมาเลเซีย ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เป็นต้นไป โดยนักเดินทางที่จะเข้ามาเลเซีย หากฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว หรือเคยติดเชื้อโควิดแต่หายป่วยแล้วภายในระยะเวลา 60 วันก่อนเดินทางมายังมาเลเซีย ไม่จำเป็นต้องตรวจโควิดก่อนเข้าประเทศ ส่วนผู้ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ ยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการเดิมคือให้ตรวจโควิดก่อนเดินทาง และต้องกักตัว 5 วันเมื่อเดินทางเข้ามาเลเซีย
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีสาธารณสุขของมาเลเซียยังคงย้ำว่า มาตรการผ่อนคลาย ถอดหน้ากากในที่โล่ง ไม่ได้หมายความว่าการระบาดของโควิด-19 สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนยังต้องระวังตัว ภาครัฐก็ยังจับตาสถานการณ์ เฝ้าระวังสายพันธุ์โควิดใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลมาเลเซียค่อนข้างมั่นใจคือ สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลมาเลเซียมองว่าอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้
เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดไทยอีกประเทศอย่างกัมพูชา เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (26 เม.ย.) สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้จะให้ประชาชนตัดสินใจเองว่า ถ้าอยู่ในพื้นที่โล่ง นอกอาคาร จะสวมหน้ากากหรือไม่ พร้อมกับย้ำว่า นี่คือมาตรการของรัฐบาลกัมพูชาที่มีผลทันที ซึ่งหมายความว่า ต่อไปนี้คนในกัมพูชาถ้าอยู่ข้างนอก พื้นที่โล่งๆ สามารถถอดหน้ากากอนามัยได้
แต่กระนั้น ทางการกัมพูชายังย้ำว่า ประชาชนยังจำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัย หากอยู่ในอาคารหรือในพื้นที่ปิด เช่น ในห้องประชุมที่ติดแอร์ หรือในโรงภาพยนตร์ ส่วนสถานที่ที่เป็นพื้นที่กึ่งโล่งกึ่งปิด ซึ่งอากาศอาจไม่ถ่ายเท หรือในพื้นที่ที่มีคนมารวมกันอยู่เยอะๆ ทางการกัมพูชายังคงแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่เหล่านี้อยู่
รัฐบาลกัมพูชาระบุสาเหตุที่ให้ประชาชนถอดหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในพื้นที่โล่งว่า เป็นเพราะประชาชนได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในสัดส่วนที่มากแล้ว และในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองที่สำคัญของกัมพูชาเช่นเดียวกับไทย ได้มีการผ่อนปรนให้ประชาชนสามารถรวมกลุ่มเฉลิมฉลองกันได้ และผลก็ปรากฏว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ได้พุ่งสูงขึ้นในระดับที่น่ากังวล
แน่นอนว่า มาตรการเปิดหน้ากากอนามัยนี้ แม้จะเป็นเรื่องใหม่ที่น่าตื่นเต้นสำหรับประเทศต่างๆ แต่ก็ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเสี่ยงที่จะตามมา ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยในหลายประเทศจะลดน้อยลงสู่ระดับที่ต่ำมากแล้ว แต่การที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนน้อย ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีเชื้ออยู่เลย อย่างบรรดาชาติตะวันตกหลายๆ ประเทศ ที่นำร่องผ่อนคลายมาตรการให้ถอดหน้ากากในสถานที่ต่างๆ มาก่อนแล้ว หรือบางประเทศอาจถึงขั้นให้ถอดหน้ากากแม้ในพื้นที่ปิด แต่ก็มีตัวอย่างให้เห็น เช่น กรณีของสเปนที่มีรายงานสัดส่วนผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นหลังไฟเขียวให้ประชาชนถอดหน้ากากในอาคารมาแล้ว
สำหรับมาเลเซียและกัมพูชานั้น แม้จะยังไปไม่ถึงขั้นให้ถอดหน้ากากในพื้นที่ปิดได้ แต่ก็ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา หลังจากที่มาตรการผ่อนคลายให้ถอดหน้ากากอนามัยมีผลบังคับใช้










