รัฐบาลนิวซีแลนด์เล็งออกกฎหมายห้ามคนรุ่นใหม่ซื้อบุหรี่ตลอดชีวิต ตั้งเป้าปูทางสู่สังคมปลอดบุหรี่ถาวร

รัฐบาลนิวซีแลนด์เตรียมออกกฎหมายห้ามประชาชนที่เกิดหลังปี 2551 ซื้อบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบตลอดชีวิต ภายใต้เป้าหมายก้าวสู่การเป็นสังคมปลอดบุหรี่ถาวร 

วันที่ 9 ธ.ค. 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นิวซีแลนด์มีแผนจะออกกฎหมายห้ามไม่ให้ผู้ที่เกิดหลังปี 2551 ซื้อบุหรี่หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบได้ตลอดชีวิต โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 2565 

ดร.อายีซา เวอร์รัล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขนิวซีแลนด์แถลงว่า “เราต้องการทำให้มั่นใจว่าคนรุ่นใหม่จะเริ่มไม่สูบบุหรี่เลย เราเลยกำหนดให้การขายหรือจัดหาผลิตภัณฑ์ยาสูบรมควันให้กับเยาวชนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย” 

แผนการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลที่ต้องการลดอัตราการสูบบุหรี่ให้เหลือต่ำกว่า 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมดภายในปี 2568 และทำให้นิวซีแลนด์กลายเป็นประเทศที่ไม่มีประชากรสูบบุหรี่เลยในที่สุด 

จากข้อมูลทางสถิติในปัจจุบัน ประชากรวัยผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ในนิวซีแลนด์คิดเป็นสัดส่วน 13% ลดลงจาก 18% ในทศวรรษที่แล้ว ซึ่งรัฐบาลชี้ว่า บุหรี่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชาชนราว 4,000-5,000 คนในแต่ละปี โดยในแต่ละวันมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่หรือสัมผัสควันบุหรี่มือสองราว 12-13 คน 

“การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ของการเสียชีวิตที่ป้องกันได้ในนิวซีแลนด์ และเป็นต้นเหตุของเกิดโรคมะเร็งคิดเป็นอัตรามากถึง 1 ใน 4” ดร.เวอร์รัลกล่าว 

นอกจากการจำกัดอายุผู้ที่สูบบุหรี่แล้ว รัฐบาลนิวซีแลนด์ยังจะเพิ่มมาตรการคุมเข้มในด้านอื่นๆ อาทิ การลดจำนวนร้านค้าที่สามารถวางขายบุหรี่ได้ ไม่อนุญาตให้มีการวางขายบุหรี่ในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายของชำ รวมถึงการกำหนดปริมาณสารนิโคตินสำหรับการผลิตและนำเข้าบุหรี่ให้อยู่ในระดับต่ำ และเพิ่มข้อจำกัดในการโฆษณาบุหรี่ให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม แม้นโยบายดังกล่าวของรัฐบาลจะได้เสียงชื่นชมจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขในประเทศซึ่งมองว่า นิวซีแลนด์จะกลายมาเป็นผู้นำโลกด้านการควบคุมการสูบบุหรี่อย่างจริงจัง แต่ยังคงมีหลายฝ่ายที่ออกมาแสดงความกังวลว่า การกำหนดให้ลดปริมาณนิโคตินอาจเป็นการสร้างภาระให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ต้องเสียเงินซื้อบุหรี่มากขึ้นเพื่อให้ได้รับนิโคตินในปริมาณเท่าเดิม และอาจสร้างปัญหาเรื่องบุหรี่เถื่อนให้เกิดขึ้นตามมา