ถ้าพูดถึงตัวการของปัญหาฝุ่นควัน…คุณคิดถึงอะไร? คงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่หาก “ไฟในป่า” จะเป็นหนึ่งในชอยซ์แรก ๆ ที่คุณ หรือ คนทั่ว ๆ ไปนึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ภาคเหนือซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตนี้รุนแรงที่สุด
แต่ช้าก่อน…ถ้ามีข้อมูลที่บอกว่า ไม่ใช่ทุกไฟที่ปะทุในป่าเป็นปัญหา คุณจะเชื่อไหม?
เราอยากชวนคุณไปสำรวจชุดข้อมูลที่อาจเผยให้เห็นว่า “ไฟในป่า” มีมิติที่ซับซ้อนกว่าที่เราเคยเข้าใจ ซึ่งภาพจำผิดๆ ที่ผ่านมาอาจนำไปสู่แนวคิดการรับมือที่ยังไม่ตอบโจทย์
“ฝุ่นควัน” ถือได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ที่ประเทศไทยเผชิญมาเป็นเวลาหลายปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลายได้ในเร็ววัน มลพิษทางอากาศนี้มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดิมของทุก ๆ ปี จนถูกเรียกขานว่า “ฤดูฝุ่น” ซึ่งตรงกับเดือนมกราคมถึงเมษายน อันเป็นเวลาเปลี่ยนผ่านจากฤดูหนาวไปสู่ฤดูร้อน และสภาพอากาศมีความแห้งแล้ง ความกดอากาศสูง ฝุ่นควันขนาดเล็กจึงไม่ถูกพัดพาขึ้นไปในชั้นบรรยากาศสูง ๆ แต่จะวนเวียนอยู่ใกล้พื้นดินในระดับที่ผู้คนอาศัยอยู่
หนึ่งในสาเหตุหลักของปัญหาฝุ่นควันคือไฟจากการเผาไหม้ นอกจากภายในประเทศแล้วไฟในบริเวณประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและลาว ก็ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ฝุ่นควันในบ้านเราเช่นเดียวกัน ถึงกระนั้นภายในงานชิ้นจะขอพาทุกคนไปสำรวจปัญหาไฟเฉพาะระดับภายในประเทศกันก่อน เพื่อให้เข้าใจภาพเบื้องต้นของปัญหาที่ซับซ้อน และตั้งคำถามถึงนโยบายรับมือซึ่งเกี่ยวข้องกับพวกเราโดยตรง
การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ ส่วนใหญ่ในทางภูมิศาสตร์จะตรวจจับไฟโดยใช้ข้อมูล “จุดความร้อน หรือ Hotspot” ซึ่ง GISTDA ได้ให้นิยามไว้ว่า จุดความร้อน หมายถึง จุดที่ดาวเทียมตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความร้อนจากไฟ
ออกแบบโดย Punch Up
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA)
ทำความรู้จักจุดความร้อนกันแล้ว...
งั้นเราไปดูสถานการณ์จุดความร้อนในประเทศไทยโดยรวมกันดีกว่า
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Terra/Aqua ระบบ MODIS
หมายเหตุ : ปี 2565 จุดความร้อนถูกตรวจพบน้อย อาจเนื่องมาจากเป็นปีที่ไทยมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยช่วงเดือน ม.ค. - พ.ค. กระจายตัวค่อนข้างมาก และส่งผลให้ในพื้นที่มีความชื้นสูง
ข้อมูลจุดความร้อนสะสม หรือ จำนวนจุดความร้อนทั้งหมดที่ตรวจพบในช่วง 1 ม.ค. - 31 พ.ค. ของปี พ.ศ. 2558 - 2565 จากดาวเทียม Terra/Aqua ระบบ MODIS รายงานโดย GISTDA แสดงให้เห็นว่า 2562 ถือเป็นปีที่ประเทศไทยมีจุดความร้อนสะสมมากที่สุดถึง 29,251 จุด โดยจำนวนจุดความร้อนเฉลี่ยตลอดทั้ง 8 ปี อยู่ที่ประมาณ 19,747 จุด
ภาคเหนือตอนบน
4,320 จุด
0.05 จุดต่อ ตร.กม.
ภาคเหนือตอนล่าง
3,895 จุด
0.05 จุดต่อ ตร.กม.
ภาคกลาง
770 จุด
0.04 จุดต่อ ตร.กม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
4,761 จุด
0.03 จุดต่อ ตร.กม.
ภาคตะวันตก
363 จุด
0.01 จุดต่อ ตร.กม.
ภาคตะวันออก
893 จุด
0.02 จุดต่อ ตร.กม.
ภาคใต้
1,004 จุด
0.01 จุดต่อ ตร.กม.
สำรวจจุดความร้อนสะสมย้อนหลัง
2560
2561
2562
2563
2564
2565
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA)
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Terra/Aqua ระบบ MODIS
และถ้าหากแยกดูเป็นรายภาคก็จะเห็นได้ว่าจุดความร้อนเฉลี่ยตลอดทั้ง 6 ปี กระจายตัวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบนมากที่สุดอยู่ที่ 5,150 จุด และ 4,968 จุดตามลำดับ
โดยหากเราเทียบเฉลี่ยตามขนาดพื้นที่อีกที โซนภาคเหนือตอนบนซึ่งประกอบไปด้วย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลําปาง ลําพูน เชียงราย แพร่ อุตรดิตถ์ น่าน และพะเยา จะถือเป็นภูมิภาคที่มีจุดความร้อนหนาแน่นที่สุด
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Terra/Aqua ระบบ MODIS
จากข้อมูลข้างต้น เราได้เห็นกันแล้วว่าภาคเหนือตอนบนเป็นภูมิภาคที่มีจุดความร้อนหนาแน่นที่สุด
จุดความร้อนเหล่านี้ส่งผลกระทบกับผู้คนในพื้นที่อย่างไร เราลองไปดูความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาที่เกิดจุดความร้อนและความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ ฝุ่น PM 2.5 กันดีกว่า รวมทั้งหากจะตั้งคำถามถึงวิธีการรับมือวิกฤตินี้อย่างตรงจุด เราอาจเริ่มที่การสำรวจดูว่าจุดความร้อนเหล่านี้ปรากฏบนพื้นที่ลักษณะไหนบ้าง
จากข้อมูลจุดความร้อนที่รวบรวมโดยกรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) โดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS ซึ่งสามารถเก็บภาพที่มีความละเอียดสูงกว่า ทำให้จุดความร้อนที่ปรากฏอาจมีจำนวนมากกว่าที่ปรากฎในดาวเทียม Terra/Aqua ระบบ MODIS เราจะเห็นว่าในช่วง ธ.ค. 65 - พ.ค. 66 จุดความร้อนสะสมจะเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคมและลดลงอย่างชัดเจนในช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งผ่านพ้นฤดูฝุ่นไปแล้ว
เดือนธันวาคม 2565
จุดความร้อน 749 จุด
เลื่อน
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
สรุปจำนวนจุดความร้อนในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด
ช่วง ธ.ค. - พ.ค. ของปี 2560 - 2566
ในทำนองเดียวกัน รูปแบบของจุดความร้อนและฤดูฝุ่น ปรากฎขึ้นซ้ำ ๆ ในลักษณะเดียวกันของทุก ๆ ปี ในช่วง 60 - 66 โดยจะเริ่มเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคม และลดลงอย่างชัดเจนในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งหากดูเฉลี่ยเป็นรายเดือน มีนาคมถือเป็นช่วงที่มีการตรวจพบจุดความร้อนมากที่สุด อยู่ที่ประมาณ 14,000 จุด
จำนวนจุดความร้อน
0
26,000
พ.ศ.
2560
2561
2562
2563
2564
2565
2566
ธ.ค. ปีก่อนหน้า
465 จุด
420 จุด
1,068 จุด
1,785 จุด
859 จุด
749 จุด
ค่าเฉลี่ย
891 จุด
ม.ค.
207 จุด
499 จุด
1,123 จุด
29 จุด
4,038 จุด
2,119 จุด
2,533 จุด
ค่าเฉลี่ย
1,506.86 จุด
ก.พ.
450 จุด
1,083 จุด
138 จุด
4,072 จุด
9,673 จุด
3,299 จุด
12,577 จุด
ค่าเฉลี่ย
4,470.29 จุด
มี.ค.
6,499 จุด
4,634 จุด
25,255 จุด
18,105 จุด
15,955 จุด
4,540 จุด
24,443 จุด
ค่าเฉลี่ย
14,204.43 จุด
เม.ย.
1,936 จุด
5,236 จุด
6,347 จุด
5,636 จุด
1,790 จุด
2,933 จุด
19,354 จุด
ค่าเฉลี่ย
6,176 จุด
พ.ค.
2,209 จุด
3,117 จุด
1,097 จุด
670 จุด
1,233 จุด
406 จุด
2,582 จุด
ค่าเฉลี่ย
1,616.29 จุด
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
จุดความร้อนสะสมเทียบกับความหนาแน่นของฝุ่น PM 2.5 เฉลี่ย ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด ช่วง ธ.ค. - พ.ค. ของปี 2561 - 2566
ข้อมูลความหนาแน่นของฝุ่น PM 2.5 รายวัน ซึ่งเก็บจากสถานีตรวจจับ* ที่ตั้งอยู่ในโซนภาคเหนือตอนบน 14 สถานี เฉลี่ยช่วงเดือน ธ.ค. - พ.ค. ในปี 2561 - 2566 เผยให้เห็นว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่มีค่าเฉลี่ยความหนาแน่นของฝุ่น PM 2.5 สูงที่สุดอยู่ที่ 57.64 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินกว่า 51 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือเป็นระดับที่จะเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพตามเกณฑ์ดัชนีคุณภาพอากาศจากกรมควบคุมมลพิษ และยังเป็นปีที่ตรวจพบจุดความร้อนสะสมสูงที่สุดอีกด้วย
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
ที่มา : กรมควบคุมมลพิษ
อย่างไรก็ตามจำนวนจุดความร้อนปริมาณมากอาจไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 ความหนาแน่นสูงในพื้นที่เดียวกันโดยตรง เนื่องจากมีปัจจัยอีกมากมายที่มีผลต่อความหนาแน่นของฝุ่น ไม่ว่าจะเป็นทิศทางลม สภาพอากาศ หรือ จุดความร้อนในบริเวณอื่น อย่างเช่นในปี 2563 ซึ่งตรวจพบจุดความร้อนสะสมอยู่ที่ 29,580 จุด น้อยกว่าปี 2562 และ 2564 แต่ค่า PM 2.5 ในปีนั้นกลับมีความหนาแน่นเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 50.98 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าปี 2562 และ 2564 สถานการณ์นี้อาจเป็นผลมาจากจุดความร้อนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและพม่า ซึ่งตรวจพบจุดความร้อนสะสมในช่วงเดียวกันราว 101,763 จุด ซึ่งไฟจำนวนมหาศาลนี้อาจทำให้เกิดควันและถูกกระแสลมพัดพามาถึงโซนภาคเหนือตอนบนของไทยอีกที
*หมายเหตุ : ข้อมูลความหนาแน่นของฝุ่น PM 2.5 ที่ตรวจจับจากแต่ละสถานีจะสะท้อนถึงคุณภาพอากาศ ณ บริเวณที่ตั้งสถานีเท่านั้น โดยอาจไม่สามารถสะท้อนถึงคุณภาพอากาศของพื้นที่ทั้งภูมิภาคได้
นอกจากนี้ในการรับมือปัญหาวิกฤติการเผา เราอาจจะต้องเริ่มจากการสำรวจดูว่าจุดความร้อนเกิดขึ้นในพื้นที่ลักษณะไหนบ้าง หรือในพื้นที่ที่เราคิดว่าเป็นปัญหาเช่น ป่า หรือ พื้นที่เกษตรมีจุดความร้อนเยอะตามที่เข้าใจหรือเปล่า โดยแผนที่ด้านล่างคือภาพตัวอย่างแสดงที่มาของข้อมูลจุดความร้อนแยกประเภทตามลักษณะของพื้นที่ในปี 66 อันจะเห็นว่าจากจุดความร้อนทั้งหมด 56,684 จุด ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในป่าถึงราว 77%
สำรวจประเภทพื้นที่
ภาพรวมจุดความร้อนบนพื้นที่ลักษณะต่าง ๆ
จุดความร้อนทั้งหมด 56,684 จุด
พื้นที่ป่า
46,426 จุด (76.5%)
พื้นที่เกษตร
14,002 จุด (23.1%)
อื่นๆ
256 จุด (0.4%)
*1 จุด เท่ากับ 1 จุดความร้อน
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
สรุปจำนวนจุดความร้อนและประเภทการใช้งานพื้นที่ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด ช่วง ม.ค. - พ.ค. ของปี 2560 - 2566
เมื่อเรามองภาพรวมช่วงปี 62 - 66 จะเห็นว่า จุดความร้อนในโซนภาคเหนือตอนบน ถูกตรวจพบมากที่สุดในพื้นที่ป่า คิดเป็นร้อยละ 80.22 ของจุดความร้อนสะสมทั้งหมดที่ตรวจพบ และมีจุดความร้อนสะสมปรากฏในพื้นที่เกษตร ประมาณร้อยละ 18.22
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
โดยหากพิจารณาเป็นรายปีจะเห็นว่า จุดความร้อนที่ถูกตรวจพบมีจำนวนแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดจุดความร้อน โดยในปี 2565 เป็นช่วงที่เกิดปรากฏการณ์ลานีญาทำให้อากาศมีความชื้นสูง ส่งผลให้เกิดไฟขึ้นได้น้อย ขณะที่ปี 2566 เป็นช่วงเริ่มต้นของปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้อากาศมีความแห้งแล้งสูง ไฟจึงเกิดขึ้นได้ง่ายและถูกตรวจพบจำนวนมาก
จากข้อมูลที่สำรวจกันไปคงพอเห็นกันแล้วว่า ช่วงที่จุดความร้อนถูกตรวจพบจำนวนมาก จะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ความเข้มข้นของฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับที่เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งคงเป็นชุดความเข้าใจที่คนทั่วไปเห็นตรงกันอยู่แล้ว
...แต่เรื่องไฟยังไม่จบเพียงแค่นี้ จากข้อมูลที่เราสำรวจกันไป หากเอาตำแหน่งจุดความร้อนมาวางลงบนแผนที่ซึ่งจำแนกพื้นที่ออกเป็นลักษณะต่าง ๆ เพื่อดูว่าพื้นที่ไหนอาจเป็นปัญหาบ้าง จะเห็นได้ว่าจุดความร้อนกระจายตัวอยู่บนพื้นที่แต่ละลักษณะไม่เท่ากัน
หากสังเกตดูจะพบว่าไฟหลัก ๆ มักเกิดขึ้นในบริเวณป่าและพื้นที่เกษตร เรามาเจาะลึกเรื่องไฟในพื้นที่ทั้ง 2 ประเภทกันก่อนดีกว่า เพื่อที่จะได้เข้าใจสถานการณ์ไฟป่าให้ดียิ่งขึ้น
จากข้อมูลจุดความร้อนสะสมในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนช่วงปี 2560 - 2566 เราคงเห็นแล้วว่า จุดความร้อนส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ป่า ว่าแต่พื้นที่ป่าที่ว่านี้...เป็นป่าประเภทใดบ้าง แล้วมันอันตรายทั้งหมดไหม
ประเภทพื้นที่
ภาพรวมจุดความร้อนบนพื้นที่ลักษณะต่าง ๆ
จุดความร้อนทั้งหมด 46,426 จุด
ป่าผลัดใบ
22,773 จุด (49.1%)
ป่าไม่ผลัดใบ
10,546 จุด (22.7%)
ป่าผสม
13,107 จุด (28.2%)
*1 จุด เท่ากับ 1 จุดความร้อน
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
พ.ศ.
ประเภทพื้นที่ป่า
ป่าผลัดใบ
ป่าไม่ผลัดใบ
ป่าผสม
2562
ป่าผลัดใบ
15,195 จุด
ป่าไม่ผลัดใบ
14,944 จุด
ป่าผสม
1,223 จุด
2563
ป่าผลัดใบ
13,326 จุด
ป่าไม่ผลัดใบ
10,368 จุด
ป่าผสม
2,005 จุด
2564
ป่าผลัดใบ
15,639 จุด
ป่าไม่ผลัดใบ
2,503 จุด
ป่าผสม
5,084 จุด
2565
ป่าผลัดใบ
5,875 จุด
ป่าไม่ผลัดใบ
355 จุด
ป่าผสม
1,693 จุด
2566
ป่าผลัดใบ
22,965 จุด
ป่าไม่ผลัดใบ
10,601 จุด
ป่าผสม
13,151 จุด
0
5,000
10,000
15,000
20,000
25,000
30,000
35,000
40,000
45,000
50,000
จุดความร้อน (จุด)
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
หากเรานำพื้นที่ป่ามาแบ่งออกตามชนิด ได้แก่ ป่าผลัดใบ ไม่ผลัดใบ และผสม จะเห็นได้ว่าสัดส่วนจุดความร้อนสะสมที่ปรากฏในพื้นที่ป่าผลัดใบมากที่สุด โดยอยู่ที่ราวร้อยละ 54.1 เทียบกับจุดความร้อนทั้งหมดที่ตรวจพบ และเจอในป่าไม่ผลัดใบอยู่ที่ราวร้อยละ 28.7 หากพิจารณาแยกเป็นรายปีก็จะเห็นว่าไฟในป่าผลัดใบเกิดขึ้นมากที่สุดในทุก ๆ ปี และเพิ่มสูงขึ้นชัดเจนในปี 66 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของปรากฏการณ์เอลนีโญที่สภาพอากาศแห้งแล้งและเกิดไฟได้ง่าย
จากข้อมูลแสดงให้เราเห็นว่าหากมองเฉพาะในมิติป่า ป่าผลัดใบถือเป็นพื้นที่ที่มีจุดความร้อนมากที่สุด รองลงมาคือป่าไม่ผลัดใบ เรามาทำความเข้าใจกันเพิ่มเติมดีกว่าว่าไฟที่เกิดขึ้นในป่าทั้ง 2 ชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
ผศ.ดร.กอบศักดิ์ วันธงไชย คณบดีประจำคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อธิบายว่า ป่าผลัดใบและป่าไม่ผลัดใบมีคุณลักษณะหลายข้อที่แตกต่างกัน โดยเงื่อนไขเหล่านี้ทำให้ไฟมีผลกระทบต่อป่าทั้ง 2 ชนิด ต่างกันไปด้วย
ป่าผลัดใบ
(Deciduous Forest)
ดูภาพจริง
ลักษณะทั่วไป
ป่าไม่ผลัดใบ
(Evergreen Forest)
ดูภาพจริง
ลักษณะทั่วไป
โดยสรุปแล้ว แม้ไฟจะเป็นกลไกที่ขาดไม่ได้สำหรับป่าผลัดใบ เพราะทำให้เกิดสารอาหารในดินที่ต้นไม้ดูซับไปใช้ได้ แต่การเกิดไฟที่มากเกินไปก็ย่อมส่งผลให้ป่าเสื่อมโทรมได้เช่นกัน และที่สำคัญอาจลุกลามเข้าไปในป่าไม่ผลัดใบซึ่งมีคุณสมบัติตามธรรมชาติที่ไม่ควรเกิดไฟขึ้นเลยเพราะจะไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้
การเกิดไฟในป่าซึ่ง ดร.กอบศักดิ์ชี้ว่า สำหรับประเทศไทยส่วนมากมีที่มาจากมนุษย์ จึงต้องมีการควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสำหรับป่าผลัดใบและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นเลยในป่าไม่ผลัดใบ
นอกจากพื้นที่ป่าแล้วข้อมูลยังทำให้เราเห็นอีกว่าจุดความร้อนที่ถูกตรวจพบบนพื้นที่ เกษตรถึงจะไม่มากเท่าป่า แต่ก็เป็นส่วนที่ควรให้ความสนใจเช่นกัน โดยจุดความร้อนนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการเผาวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรหลังช่วงเก็บเกี่ยว ซึ่งมักเป็นขั้นตอนที่เกษตรกรเลือกใช้เพื่อลดต้นทุนในการเคลียร์พื้นผิวดินสำหรับการเพาะปลูกครั้งถัดไป อันจะเห็นได้ในพื้นที่เกษตรหลายชนิด สำหรับกรณีภาคเหนือตอนบน สัดส่วนการเผาที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ปลูกพืชชนิดต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน ไปดูกันเลยว่ามีไฟเกิดขึ้นในพื้นที่เกษตรแต่ละแบบมากน้อยแค่ไหน
สำรวจประเภทพื้นที่
ภาพรวมจุดความร้อนบนพื้นที่ลักษณะต่าง ๆ
จุดความร้อนทั้งหมด 14,002 จุด
ไร่ข้าวโพด
4,805 จุด (34.3%)
ไร่อ้อย
1,716 จุด (12.3%)
นาข้าว
2,581 จุด (18.4%)
พื้นที่เกษตรอื่น ๆ
4,900 จุด (35.0%)
*1 จุด เท่ากับ 1 จุดความร้อน
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
พ.ศ.
ประเภทพื้นที่เกษตร
ไร่ข้าวโพด
ไร่อ้อย
นาข้าว
อื่น ๆ
2562
ไร่ข้าวโพด
15,195 จุด
ไร่อ้อย
0 จุด
นาข้าว
542 จุด
อื่นๆ
1,248 จุด
2563
ไร่ข้าวโพด
1,683 จุด
ไร่อ้อย
0 จุด
นาข้าว
465 จุด
อื่นๆ
1,573 จุด
2564
ไร่ข้าวโพด
2,488 จุด
ไร่อ้อย
1,343 จุด
นาข้าว
1,666 จุด
อื่นๆ
3,740 จุด
2565
ไร่ข้าวโพด
1,092 จุด
ไร่อ้อย
325 จุด
นาข้าว
1,617 จุด
อื่นๆ
2,190 จุด
2566
ไร่ข้าวโพด
4,868 จุด
ไร่อ้อย
1,745 จุด
นาข้าว
2,798 จุด
อื่นๆ
5,019 จุด
0
2,000
4,000
6,000
8,000
10,000
12,000
14,000
16,000
จุดความร้อน (จุด)
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
ถ้าเราดูจุดความร้อนสะสมเฉพาะพื้นที่เกษตร โดยแบ่งตามชนิดของพืช (ข้าวโพด ข้าว อ้อย อื่น ๆ) จะเห็นว่าในบรรดาพื้นที่เกษตรที่สามารถระบุชนิดพืชได้ จุดความร้อนช่วงปี 2562 - 2566 ปรากฏในพื้นที่ปลูกข้าวโพดมากที่สุด อยู่ที่ร้อยละ 31.36 จากจุดทั้งหมดที่เจอ ตามมาด้วยพื้นที่ปลูกข้าว ซึ่งเจอจุดความร้อนสะสมอยู่ที่ร้อยละ 20.04 และหากพิจารณาแยกเป็นรายปีก็จะพบว่า ในบรรดาพื้นที่เกษตรที่จำแนกประเภทพืชที่ปลูกได้ ไฟในไร่ข้าวโพดถูกตรวจพบมากที่สุดในทุก ๆ ปี
ในภาพรวมเราอาจสรุปได้ว่า ไร่ข้าวโพดถือเป็นพื้นที่ที่ควรเฝ้าระวังโดยมีแนวโน้มที่จะเกิดการเผามากที่สุด
นอกจากนี้ไร่ข้าวโพดยังมีส่วนที่ส่งผลกระทบต่อป่า โดยตามรายงานของกรีนพีซประเทศไทยที่ทำการสำรวจทุกๆ 5 ปีระบุว่า พื้นที่ปลูกข้าวโพดในบริเวณ 8 จังหวัดภาคเหนือของไทยเพิ่มสูงขึ้นระหว่างช่วงปี 2545 - 2565 โดยเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 2550 ที่พุ่งขึ้นมาเป็น 2.3 ล้านไร่ จากประมาณ 620,000 ไร่ในปี 2545
ที่มา : กรีนพีซประเทศไทยและศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ภาคเหนือ (GIST North) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Suomi NPP ระบบ VIIRS
และการขยายตัวของพื้นที่ปลูกข้าวโพดนี้เอง ย่อมส่งผลต่อพื้นที่ป่าที่ส่วนใหญ่ซึ่งมักอยู่ติดกัน โดยตามรายงานระบุว่าช่วงระหว่างปี 2545 - 2565 มีพื้นที่ป่าซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเป็นไร่ข้าวโพดประมาณ 1.9 ล้านไร่
แม้ไฟจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่แต่ละประเภทแตกต่างกันออกไป ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไฟสร้างผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือตอนบนอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะในเชิงระบบนิเวศ หรือ ฝุ่นควันในอากาศ ซึ่งมิติหลังส่งผลต่อสุขภาพของคนในพื้นที่อย่างชัดเจน โดยหนึ่งในโรคที่กรมควบคุมโรคระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับฝุ่น PM 2.5 โดยตรงนั่นก็คือ โรคทางเดินหายใจอุดกั้น
ที่มา : สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
จากข้อมูลจะเห็นว่า แม้แนวโน้มอัตราการตายของผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจอุดกั้นของแต่ละภาคจะลดน้อยลง แต่สำหรับโซนภาคเหนือตอนบนอัตราการตายของผู้ป่วยโรคนี้ก็สูงกว่าภูมิภาคอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยมีค่าเฉลี่ยตลอด 6 ปี อยู่ที่ร้อยละ 28.24
ถึงตรงนี้…ทุกคนคงพอเห็นภาพกันแล้วว่า ไฟในพื้นที่ลักษณะไหนบ้างที่ถือเป็นปัญหา และคำถามถัดไปที่คงหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือ “แล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไร?” เพื่อตอบคำถาม เราอาจต้องมองย้อนกลับไปดูว่าไฟเกิดขึ้นในพื้นที่ที่หน่วยงานหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใดดูแลรับผิดชอบบ้าง
จากข้อมูลของ GISTDA เราอาจแบ่งจุดความร้อนที่ปรากฏบนพื้นที่รับผิดชอบของภาคส่วนต่างๆ ได้ 6 ลักษณะดังนี้
พื้นที่ป่าอนุรักษ์
กำกับดูแลโดย
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช
อ่านเพิ่มเติม
พื้นที่เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ พื้นที่เขต ส.ป.ก.
กำกับดูแลโดย
สํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
อ่านเพิ่มเติม
พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
กำกับดูแลโดย
กรมป่าไม้
อ่านเพิ่มเติม
พื้นที่ริมทางหลวง 50 เมตร
กำกับดูแลโดย
กรมทางหลวง
อ่านเพิ่มเติม
พื้นที่เกษตร
อ่านเพิ่มเติม
พื้นที่ชุมชนและพื้นที่อื่นๆ
อ่านเพิ่มเติม
ที่มา : สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เก็บข้อมูลโดยดาวเทียม Terra/Aqua ระบบ MODIS
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า จุดความร้อนสะสมพบมากที่สุดในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติมากถึง 12,518 จุด รองลงมาคือพื้นที่ป่าอนุรักษ์และเขต ส.ป.ก. โดยมีจุดความร้อนรวมอยู่ที่ 10,637 จุด และ 890 จุด ตามลำดับ
หน่วยงานที่รับผิดชอบพื้นที่เหล่านี้ ทั้งกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตร จึงอาจต้องเป็นภาคส่วนสำคัญลำดับต้น ๆ ที่เข้ามาจัดการปัญหาเรื่องไฟ โดยคำนึงถึงลักษณะและความสำคัญของการเกิดไฟในแต่ละพื้นที่ซึ่งอาจแตกต่างกัน
โดยในอดีตที่ผ่านมาภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น กรมป่าไม้ หรือ กรมอุทยานฯ ก็ได้ดำเนินงานแผน และ นโยบายหลายรูปแบบที่กำหนดขึ้นเพื่อพยายามควบคุมปัญหาไฟ ไม่ว่าจะเป็น การชิงเผาซึ่งเป็นมาตรการเผาตามกำหนดภายใต้การควบคุมเพื่อลดปริมาณเชื้อเพลิงในป่าไม่ให้เกิดไฟที่อาจลุกลามจนควบคุมไม่ได้ มาตรการห้ามเผาโดยเด็ดขาด (Zero Burning) หรือการกำหนดช่วงเวลาที่ห้ามเผาโดยเฉพาะในพื้นที่การเกษตร และ การจัดการไฟ (Fire Management) หรือ การลงทะเบียนก่อนเผา เพื่อให้ภาครัฐจัดสรรเวลาที่เหมาะสมรวมถึงจัดกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมจัดการไฟ อย่างไรก็ตาม ด้วยความซับซ้อนของปัญหาทำให้นโยบายเหล่านี้ยังมีอุปสรรคในการบังคับใช้อันส่งผลให้ยังไม่สามารถควบคุมปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ติดตามเรื่องราวนโยบายควบคุมไฟ และปัญหาอุปสรรคต่อได้ที่ Behind the burns เบื้องหลังฝุ่น PM2.5 ใครคือปลาตัวใหญ่ที่ต้องถูกจับก่อน? l HEAT UP โดย สำนักข่าว Today)
“ไฟในป่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่นควัน” คำบอกเล่านี้คงเป็นสิ่งที่ใครหลาย ๆ คนเข้าใจมาโดยตลอดและอาจมองว่าหนทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือการพยายามไม่ให้เกิดไฟในป่าเลย อย่างไรก็ตามเราคงเห็นกันแล้วว่าไฟกับป่ามีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด โดยมีทั้งส่วนที่เป็นปัญหาเช่นไฟในป่าไม่ผลัดใบที่สามารถนำไปสู่ความเสียหายทางระบบนิเวศซึ่งยากจะฟื้นฟู ในขณะเดียวกันแม้ยังต้องถูกควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม แต่ไฟในป่าผลัดใบก็เป็นกลไกธรรมชาติที่ขาดไม่ได้ นอกจากนี้ไฟในพื้นที่เกษตรก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ต้องมองควบคู่กันไป โดยจากข้อมูลเราจะเห็นว่าพื้นที่ปลูกพืชแต่ละชนิดมีแนวโน้มที่จะเกิดไฟไม่เท่ากัน และไร่ข้าวโพดก็จัดเป็นพื้นที่ที่เกิดไฟมากที่สุด สุดท้ายหากเราพิจารณาไฟในป่าแยกตามพื้นที่รับผิดชอบ ก็จะพบว่า กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตร จัดเป็นภาคส่วนที่ดูแลพื้นที่ซึ่งเกิดไฟมากที่สุด
ทั้งนี้ ข้อสรุปดังกล่าวเป็นเพียงข้อสังเกตเบื้องต้นซึ่งอาจช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์ไฟในป่าได้มากยิ่งขึ้นจากความเข้าใจดั้งเดิมที่มี และเป็นสารตั้งต้นที่อาจช่วยให้เราตั้งคำถามต่อไปได้ว่า แนวทางแก้ปัญหาไฟในป่าที่ตอบโจทย์ควรเป็นอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของพื้นที่ป่าและเกษตรแต่ละประเภทซึ่งต่างกัน และหน่วยงานใดบ้างควรมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาแก้ไขปัญหานี้
Share
วิกฤติไฟในป่าและฝุ่นควัน ถือเป็นปัญหาเรื้อรังที่ประเทศไทยโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนเผชิญหน้ามาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะสะสางลงได้
Punch Up Today Greennews และ Bangkok Tribune ชวนคุณไขปริศนาที่มาและผลกระทบของวิกฤตไฟในป่า ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนและผูกโยงกับหลายมิติมากกว่าที่คุณคิดในโปรเจค Demystifying the Flames : ฝุ่น / ไฟ / ป่า
อ้างอิงข้อมูลจาก
หน่วยงานและองค์กร
บุคคล
ผลงานชิ้นนี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Southeast Asia Rainforest Journalism Fund โดย Pulitzer Center
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า