Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

หลังจาก บงจุนโฮ ผู้กำกับหนังเกาหลีใต้เรื่อง Parasite ปล่อยวาทะเด็ดตอนรับรางวัลบนเวทีลูกโลกทองช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า “หากก้าวข้ามผ่านกำแพง 1 นิ้วที่ชื่อว่าซับไตเติ้ลได้ คุณก็จะพบกับหนังดีๆ อีกมากมาย” นับตั้งแต่นั้นกำแพงที่ขวางกั้นหนังภาษาต่างประเทศจากทั่วโลกก็พังทลายลง และลงเอยด้วยการที่อีกหลายสัปดาห์ต่อมา Parasite คว้ารางวัลออสการ์ 4 สาขาใหญ่ๆ ซึ่งประกอบไปด้วย ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม, บทยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

นับจนถึงตอนนี้ผ่านไป 1 อาทิตย์แล้วที่หนังวิพากษ์ทุนนิยม ชนชั้นและความเหลื่อมล้ำในสังคมผงาดบนเวทีระดับโลก แต่กระแสความร้อนแรงของหนังก็ยังไม่ตกลงไป ผู้อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังของหนังต่างได้รับการจดจำ (แม้กระทั่งล่าวสาว ชารอน ชเว ผู้ตามติด บงจุนโฮ ไปแปลคำพูดพูดของเขาตามที่ต่างๆ) เกิดบทวิเคราะห์วิจารณ์ที่เกี่ยวกับตัวหนังโดยตรงและโดยอ้อมเพิ่มขึ้น ในส่วนของประเทศเกาหลีใต้เองก็ภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่นี้ ยกย่องตัวของ บงจุนโฮ ว่าเป็นฮีโร่ประจำชาติ นำความภาคภูมิใจกลับมาสู่มาตุภูมิ และหลายคนยังไปตามรอยหาบ้านของตระกูลพัค ตระกูลคิม เพื่อถ่ายรูปอีก เป็นต้น

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Parasite สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้เกิดขึ้นบนโลกนี้เยอะมากจริงๆ และไม่น่าแปลกใจหากผู้คนจะมีอารมณ์ร่วมกับหนังมากขนาดนี้ ในยุคสมัยที่ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นเล่นงานผู้คนทั่วโลก ความจนคือภาษาสากลที่ใครต่อใครต่างรู้ซึ้ง การมาถึงของหนังย่อมทำให้ผู้คนย่อมอินได้มากเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันก็น่ายินดีไม่น้อยที่ออสการ์เลิกมองข้ามหนังต่างประเทศเสียที หลายต่อหลายครั้งต่อให้หนังภาษาต่างประเทศได้รับการยกย่องว่าดีกว่าหนังพูดภาษาอังกฤษ แต่คณะกรรมการก็ไม่กล้ามอบรางวัลให้หนังเหล่านี้อย่างจริงๆ จังๆ แม้ว่าในช่วงหลัง หนังต่างประเทศส่อแววจะทำลายกำแพงซับเติ้ลได้แล้ว เช่น Roma (2018) ที่สามารถคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปครองได้ แต่กลับพ่าย Green Book (2018) ในสาขาหนังยอดเยี่ยม (ทั้งนี้มีหลายสำนักวิเคราะห์ว่าหาก Roma ไม่ได้สังกัดอยู่กับ Netflix ซึ่งเป็นคู่กรณีสำคัญของวงการภาพยนตร์ฉายโรงในปัจจุบัน หนังของผู้กำกับ อัลฟองโซ่ กัวรอง อาจคว้ารางวัลใหญ่สุดไปครองแล้วด้วยซ้ำ)

ชัยชนะของ Parasite ยังจุดกระแสให้ผู้คนในอเมริกา ซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่าไม่ถูกโฉลกกับการดูหนังแล้วต้องอ่านซับไตเติ้ล ให้กล้าออกจากคอมฟอร์ทโซนกลับไปประเมินคุณค่าหนังเก่าๆ จำนวนมากจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังชั้นยอดจำนวนมากจากแดนกิมจิซึ่งได้รับการยกย่องมาตลอด 20 ปีที่ผ่านมาว่าผลิตหนังสนุกและถึงคุณภาพในเวลาเดียวกัน และหากว่ากันตามตรงแล้ว หนังเกาหลีเรื่องเยี่ยมในอดีตหลายเรื่องคุณภาพดีกว่า Parasite ด้วยซ้ำ แต่อาจไม่ได้รับโอกาสประจวบเหมาะในการไปสู่เวทีโลกมากเช่นนี้

ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้ต้องการจะดิสเครดิต Parasite แต่อย่างใด แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่า มาตรฐานการทำหนังของประเทศนี้สูงเหลือเกิน ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาต้องเลิกมองข้ามหนังต่างประเทศเสียที และจะได้เปลี่ยนคำครหาว่า “Oscar is Local” ให้ก้าวไปสู่ความเป็นเวที “Global” ได้ดังที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจจริงๆ

Parasite อาจหมดภารกิจบนเวทีออสการ์แล้ว แต่คงอีกนานกว่าจะหยุดสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมทั่วโลก เพราะผู้กำกับ บงจุนโฮ มีแผนการชัดเจนว่าจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้ เขาประกาศชัดว่ากำลังอยู่ในช่วงเตรียมงานสร้าง Parasite เวอร์ชั่นซีรี่ส์โทรทัศน์เพื่อออกอากาศผ่านช่อง HBO โดยมี อดัม แม็คเคย์ จาก The Big Short (2015) และ Vice (2018) ร่วมสร้างสรรค์ด้วย ถึงจะยังไม่ได้คืบหน้าไปไกลนัก แต่ก็มีหลายอย่างที่น่ารู้และน่าจับตามอง

บงจุนโฮบอกว่าเขามีสิ่งที่อยากเล่าใน Parasite เวอร์ชั่นหนังมากมาย แต่ด้วยความที่หนังโดนจำกัดความยาวไว้ 2 ชั่วโมงทำให้ไม่สามารถเล่าทุกอย่างได้ ในทางกลับกันหากทำเป็นซีรี่ส์ (หรือที่เขาอยากเรียกว่าเป็น หนังขนาดยาว 6 ชั่วโมง) จะช่วยให้ภาพรวมของหนังได้รับการเติมเต็มจนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมยกตัวอย่างหนังคลาสสิคของผู้กำกับ อิงมาร์ เบิร์กแมน เรื่อง Fanny and Alexander (1982) ด้วยว่าหนังเรื่องนี้มีทั้งเวอร์ชั่นสำหรับฉายในโรง และเวอร์ชั่นฉายทางโทรทัศน์ และนี่คือโมเดลที่เขาอยากเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

ในส่วนของเนื้อหา บงจุนโฮ เผยไต๋ว่าเขาอยากเล่าประเด็นเกี่ยวข้องกับแม่บ้านประจำตระกูลพัค (รับบทโดย อีจุงอึน) เสริมออกไป ในหนังหากสังเกตดีๆ ตอนที่เธอกลับมาเยือนบ้านพัคช่วงกลางดึกในสภาพใบหน้าฟกช้ำ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผู้กำกับกล่าวว่าเขามีเหตุผลรองรับกับเหตุการณ์นี้เรียบร้อย และยังหยอดอีกว่าตัวของแม่บ้านจะนำไปสู่การไขปริศนาที่ใหญ่กว่านั้นด้วย ว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าบ้านหลังนี้มีห้องลับ, ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและสถาปนิกผู้ออกแบบบ้านหลังนี้เป็นอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

สำหรับผู้แสดงนั้นยังไม่มีการยืนยันว่าใครจะมาแสดง แม้กระทั่งทีมนักแสดงชุดเดิมนำโดย ซงคังโฮ ก็ยังไม่มีข่าวว่าจะได้กลับมา แต่ชื่อที่โผล่เข้ามาว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาคือ มาร์ค รัฟฟาโล่ จาก The Avengers: Endgame (2019) และล่าสุดกับ Dark Waters (2019) ว่าเขาอาจเข้ามารับบทนำในซีรี่ส์เรื่องนี้ แต่มันยังเป็นเพียงข่าวลือ และอาจต้องรออีกพักใหญ่กว่าจะได้รับการยืนยัน

นอกเหนือจากประเด็นทั้งหมดที่เปิดเผยออกมา อีกสิ่งที่ต้องจับตามองด้วยก็คือ ซีรี่ส์จะดำเนินไปด้วยภาษาอะไร? จากชื่อของ อดัม แมคเคย์ และ มาร์ค รัฟฟาโล่ เป็นไปได้สูงว่าหนังน่าจะใช้ภาษาอังกฤษในการดำเนินเรื่องเป็นหลัก และหากใช้ภาษาเกาหลีก็อาจไม่ได้ใช้ทั้งเรื่อง โดยอาจมาในเชิงเดียวกับ Snowpiercer (2013) และ Okja (2017) หนังขนาดยาว 2 เรื่องก่อนของ บงจุนโฮ หรือบางทีอาจใช้นักแสดงเกาหลีมาพูดภาษาอังกฤษทั้งเรื่องดังเช่นในซีรี่ส์ Chernobyl (2019) ของ HBO ซึ่งฉากหลังเกิดขึ้นในสหภาพโซเวียต แต่ตัวละครพูดภาษาอังกฤษ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ก็เมื่อนำคำพูดของ บงจุนโฮ เรื่องการก้าวข้ามกำแพงซับไตเติ้ลไปพบเจอหนังดีๆ ก็จะดูตลกไม่น้อย

เพราะอย่าลืมว่าเขาสร้าง Parasite ขึ้นมาเพื่อทลายกำแพงของซับไตเติ้ล ทำให้คนที่เคยขยาดการดูหนังภาษาต่างประเทศหันมาสนใจ และเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นผลสำเร็จ แต่พอถึงเวลาเขากลับนำผลงานเรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นภาษาอังกฤษเสียเอง จะถือเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งพอๆ กับการที่ Parasite เวอร์ชั่นหนังต้องการวิพากษ์ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น แต่ระหว่างเส้นทางการโปรโมทเพื่อให้ได้มาซึ่งออสการ์ ทีมโปรโมทต้องลงเงินจำนวนมหาศาล และเผลอๆ อาจมากกว่างบการสร้างหนังทั้งเรื่องเสียอีก 

ฝีมือในการทำหนังของ บงจุนโฮ ไม่มีใครกล้ากังขา และมีความเป็นไปได้สูงว่าเมื่อสร้างเสร็จ Parasite ความยาว 6 ชั่วโมงที่อยู่ในการดูแลของเขาก็น่าจะมีคุณภาพดี แต่มันจะน่าเสียดายมากหากท้ายที่สุดกำแพงซับไตเติ้ล 1 นิ้วที่เขาทลายมันลงมากับมือเอง จะพังทลายเพียงแค่ชั่วคราว แทนที่มันจะพังทลายอย่างถาวร

บทความโดย ปารณพัฒน์ แอนุ้ย

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า