Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

‘จักรภพ’ เปิดใจครั้งแรกในรอบ 15 ปี บอกคิดถึงเมืองไทยทุกวัน เผย คุยกับ ‘ทักษิณ’ 1 ครั้งก่อนกลับ แจงเหตุคัมแบ็ก แง้มเตรียมช่วยคนเสื้อแดง ลี้ภัยต่างแดนกลับบ้าน คิวต่อไป ‘จารุพงศ์’ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

จักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่กองปราบปราม หลังเดินทางไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ ตั้งแต่ ปี 2552

โดยช่วงเช้าวันนี้ (28 มี.ค. 67) ตำรวจ เข้าคุมตัว ‘จักรภพ’ ซึ่งเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 8.00 น. ตามหมายจับ ข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และเป็นอั้งยี่ มายังกองปราบปรามทันที

จักรภพ ให้สัมภาษณ์โดยสรุปว่า วันนี้ได้กลับจากต่างประเทศมาเพื่อมอบตัวสู้คดี ซึ่งเหลือ 2 คดี เกี่ยวกับอาวุธ ตนได้ประสานทนายความก่อนเดินทางกลับ มีความมั่นใจจะสู้คดีได้ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม

“ผมออกจากประเทศไทยไปในปี 52 แล้วกลับมาในปีนี้ 67 ก็ 15 ปีเต็ม รู้สึกว่าเสียดายเวลาที่จะได้รับใช้ประเทศชาติไปเยอะ เพราะฉะนั้นจากนี้ไปเลยตั้งใจว่า อะไรที่ทำได้ก็จะทำ การเมืองก็เป็นวิถีทางหนึ่ง การทำงานทางด้านการต่างประเทศในบทบาทต่างๆ ผมก็จะรับทำต่อไปเรื่อย เพราะฉะนั้นขั้นตอนเมื่อพ้นจากเรื่องคดีแล้ว ก็จะขอทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อชาติในเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต”

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่เคยพูดไว้ว่าถ้าไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมจะไม่เดินทางกลับมา จักรภพ กล่าวว่า ตนพูดไว้จริงตั้งแต่เกิดเหตุการยึดอำนาจ เมื่อปี 2549 ตอนนั้นไม่มั่นใจจริง สิ่งที่ได้พูดได้คิดจะทำตอนนั้นมาจากความจริงใจ ซึ่งตนไม่มีอะไรจะย้อนกลับไปแก้ไข นอกจากจะบอกว่า 10 กว่าปีได้คิดอะไรขึ้นเยอะ และประเทศไทยก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ อยากจะบอกข้อหนึ่ง ที่ตนอยู่ข้างนอกสังเกตได้ว่า การเมืองในภาคใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหลายเรื่อง

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบอบประชาธิปไตยได้รับอนุญาตให้เจริญเติบโตขึ้น อาจจะอย่างระมัดระวัง แต่ก็เจริญเติบโตขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้ทุกอย่างมันมั่นคงแข็งแรงกว่าที่เราจะเอาหัวไปชนกำแพง แล้วบอกว่าต้องเอาเดี๋ยวนี้เดี๋ยวนั้น” จักรภพ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการดีล จักรภพ ตอบว่า “เรื่องดีลเนี่ยฟังดูแล้วเหมือนกับเรื่องไม่ค่อยดีนะ แต่ว่าทุกอย่างที่มาถึงขนาดนี้เนี่ย มันไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการพูดคุยกัน มีการคุยกันครับ แต่การคุยไม่ใช่หมายความว่ามาแลกกันมาแล้วแลกกับอันนี้อันนั้นไม่มีเป็นเรื่องการพูดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะได้หาจุดร่วมแทนที่จะหาจุดต่างแล้วทะเลาะไป 10 กว่าปี มันเสียเวลาไปเยอะเลย แต่ที่สำคัญที่สุดพี่อยากจะเน้นอย่างนี้ ที่มันเป็นไปได้ก็เพราะว่าการเมืองในภาพใหญ่สุดมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นซึ่งพี่พูดไม่ได้มากกว่านี้ สิ่งที่พัฒนาขึ้นดีขึ้นตรงนั้นแหละที่ทำให้การพูดจากัน จากเดิมมันพูดไม่ได้ เป็นพูดได้ และนำมาสู่วันนี้”

เมื่อถามว่า เป็นเพราะรัฐบาลขณะนี้ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำใช่หรือไม่ จักรภพ กล่าวว่า คิดว่าเป็นส่วนประกอบเท่านั้น ส่วนหลักคือว่า แม้ผู้ที่มีส่วนยึดอำนาจในอดีต ก็ปรับวิธีคิดไปเยอะแล้วก็ย้อนกลับไปดูว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาใน 9-10 ปี มันเกิดอะไรขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือว่า หลายอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดขึ้นเพราะทุกฝ่ายยอม เช่น ฝ่ายนี้ต้องการจะสร้าง ฝ่ายนี้ไม่ค้าน ไม่เจาะยาง มันเกิดขึ้นได้เพราะว่าฝ่ายที่ต้องการสร้างประชาธิปไตยก็มุ่งมั่นสร้าง สร้างที่เคยทำลายประชาธิปไตยลดบทบาทในการทำลายลงไปเยอะ ตรงนี้มันทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เรื่องทันใจคนอาจจะไม่ทันใจทั้งหมด ใจเย็นๆ รอให้อายุเท่าตนจะใจเย็นลง

นายจักรภพ กล่าวถึงการกลับมาประเทศไทยว่า ไม่ได้คิดจะทิ้งการเมือง แต่ที่แน่นอนไม่ได้คิดจะมาเปลี่ยนแปลง หรือสร้างความวุ่นวายกับใครทั้งสิ้น จะมาสร้างบทบาทเล็กๆ เมื่อไหร่ที่มีบทบาทเสริม สร้างขึ้นมาค่อยเข้ามาตอนนั้นถ้าเป็นการเมือง ส่วนเรื่องสื่อต้องดูว่ายังมีพื้นที่หรือไม่ ยังต้องการคนโบราณหรือเปล่า ถ้ายังต้องการก็จะเข้าไปเสริมตรงนั้น เพราะใจอยากจะให้คนไทยพร้อมสำหรับความเปลี่ยนไประดับประเทศ อาทิ AI, ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป

“มันนาน เพราะว่ามันคิดถึงเมืองไทยทุกวัน นาน นานเพราะว่าพ่อกับแม่เราเสียไปทั้งคู่ระหว่างที่ไม่อยู่ นานเพราะว่า พวกเราที่เคยทำงานกับผมมา ก็ขาดโอกาสทำงานต่อทางการเมือง เนื่องจากว่าเราไม่ได้อยู่เป็นผู้นำ เชียร์ลีดเดอร์ให้มันนานเพราะเหตุพวกนี้ ส่วนตัวเองกี่ปีมันก็รอได้ ไม่เป็นไร เราก็ปรับตัวได้ เราคนเดียวจะกินจะอยู่แค่ไหนเชียว แต่ถ้าเราคิดถึงเรื่องโอกาสที่เสียไปมันเสียดาย ก็เลยพยายามทำใจตัวเองไม่ไปคิดแบบนั้น เอาว่าต่อไปจะมีกี่ปีก็ตามให้มันคุ้มค่าที่สุด” จักรภพ ตอบคำถามที่ว่าเวลา 15 ปีนานหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถาม หากถูกทาบทามไปช่วยงานรัฐบาล จักรภพ ตอบทันทีว่า “ยินดีรับครับ บอกได้เลย แต่จะไม่ไปในลักษณะที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคเดียวกันหรือพรรคไหนก็ตามจะเข้าไปเสริม ถ้าไปดูแล้วท่าทางจะไม่ดีก็ขออยู่เบื้องหลัง”

เมื่อถามว่า ก่อนจะกลับมาประเทศไทยได้พูดคุยกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จักรภพ ยอมรับว่า มีการพูดคุยกัน 1 ครั้ง ตนก็ถามว่าท่านเป็นอย่างไรบ้าง แล้วบรรยากาศรวมเป็นยังไง แต่เราก็รู้ดีว่าเราก็ต้องต่างคนต่างทำการบ้านของเราในเรื่องคดี เพราะแม้จะเป็นคดีการเมืองเหมือนกัน แต่คนละคดีกันหมด ไม่มีใครจะไปเลียนแบบของใครได้ มีการคุยกัน แต่ไม่ได้ปรึกษากัน ทั้งนี้จะมีการเข้าพบกับทักษิณแน่นอน ในโอกาสแรกที่ทำได้

“คิดถึง อยากจะแวะไปถามท่าน ว่าท่านมีความสุขดีไหมตอนนี้” จักรภพ กล่าว และเปิดเผยถึงสิ่งที่ทักษิณได้พูดกับตนเอง “ท่านพูดคำสำคัญว่า ยุคนี้หลายอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เราก็พูดได้แค่นั้น”

เมื่อถามว่า จะมีคนเสื้อแดงที่ลี้ภัยทางการเมืองกลับมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ จักรภพ ระบุว่า ตนคิดว่าจะเสนอตัวเป็นคนที่ช่วยเหลือสำคัญคนที่อยากจะกลับมา และสามารถจะกลับมาได้เพราะเรื่องคดีความ เช่น อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ตามตำแหน่ง หรือเลือกที่รักมักที่ชัง แต่ดูตามคดีของแต่ละคน ถ้าคดีจัดการได้ง่ายก็มองไปตรงนั้นก่อน โดยให้ความมั่นใจ เมื่อเราเข้ามาแล้วก็เหมือนเป็นหนูทดลองยา เหมือนกัน ว่าผลเป็นอย่างไร ไปบังคับความเชื่อของแต่ละคนไม่ได้ จากนั้นจะถึงการทำการบ้านของแต่ละคดีว่าคดีถึงตรงไหนอย่างไร จะสู้ในข้อกฎหมายแบบไหน เพราะอย่าลืมว่ากฎหมายไม่ได้อยู่ที่เดิม

จักรภพ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่า ในช่วง 15 ปีนั้น ระหกระเหินจริง ลำบากกายไม่เท่าไหร่ แต่ความลำบากใจเยอะ เดินทางไปอยู่ทั้งหมด 5 ประเทศ บางประเทศอยู่นานเกือบ 10 ปี แต่ขอไม่เปิดเผยว่าไปอยู่ที่ประเทศใดบ้าง ขณะนี้ไม่มีใครในรัฐบาลติดต่อเข้ามาไปทำงาน อันดับแรกที่จะทำ จะขอไปกราบพ่อกับแม่ แม่ยังไม่ได้ฌาปนกิจ เก็บอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ส่วนพ่อ ฌาปนกิจแล้วเก็บอยู่ที่บ้านน้องสาว และจากนั้น ตนจะไปกราบศาลหลักเมือง ส่วนอาหารคือข้าวแกง หลังราม แถวพัฒนาการ และก๋วยเตี๋ยว

เมื่อถามยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จักรภพ กล่าวว่า ท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เท่าที่ตนทราบก็เหลือเพียงคดีจำนำข้าว อีก 2 คดีเห็นว่าเคลียร์ไปแล้ว ตนคิดว่าท่านก็อยากกลับบ้านเหมือนทุกคน แต่ตนเองคงไม่มีสติปัญญาจะไปช่วยระดับนั้น ตนคงจะช่วยคนที่ช่วยได้

“คุณยิ่งลักษณ์ใหญ่เกินไป ขอเอาในระดับต้นไม้ในกระถางพอ” จักรภพ กล่าวตอนหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวยังถามถึงผลงานของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 6 เดือน จักรภพ ให้ความเห็นว่า “ท่านนายกฯ ก็ขยันมาก คือเราไม่ค่อยได้เห็นท่านนายกฯ ที่เหมือนกับว่าขอลุยทำงาน เดี๋ยวค่อยมาฟังทีหลังว่าจะวิจารณ์ยังไงชอบไม่ชอบ พูดง่ายๆ ว่า ท่านทำงานแบบที่เรียกว่า บาลานซ์สกอร์การ์ด (Balanced Scorecard) ขอทำข้างหน้าไปก่อน เดี๋ยวมาสรุปกันดีไม่ดี ซึ่งผมคิดว่าเป็นทัศนะที่ดีนะ ถ้าเราทำเรื่องนึงแล้วก็ท้อถอยเรื่องนึง ถ้างั้นมันก็ไม่ได้ทำต้องไปข้างก่อน แต่แน่นอนว่าท่านมีข้อเด่นสำคัญ คือท่านบริหารงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ท่านบริหารงานโครงการ เพราะอย่างนั้นท่านสามารถสามารถบริหารทีเดียว 10 โครงการก็ได้ 20 โครงการก็ได้ มีหยักในสมองเยอะนะ ทำได้หลายเรื่องพร้อมกัน ในวันเดียวบางที 5 เรื่อง”

เมื่อถามว่ามีเรื่องไหนอยากแนะนำโดยเฉพาะหรือไม่ จักรภพ กล่าวว่า ไม่มี แต่อยากแนะนำเสริมว่า ควรจะสร้างทีม 2 เรื่องแต่สุดแล้วท่าน คือ 1. ต้องจับตามองระหว่างประเทศและนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ 2. ควรต้องมุ่งหน้าไปยังกลุ่มที่ไม่มีอุปกรณ์และทรัพยากรในการต่อสู้ด้วยตัวเอง คนที่ต่ำที่สุดของสังคมในทางเศรษฐกิจน่าจะมุ่งไปตรงนั้น รัฐบาลกำลังจะมุ่งไปเท่าที่ทราบ

เมื่อถามถึงรัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ จักรภพ มองว่า คงเป็นการเมืองธรรมดาต้องต่อสู้ จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ถ้ารัฐบาลทำไม่ดี หรือทำอะไรพลาดก็ต้องมีคนถาม มีคนติง ซึ่งเราก็มีพรรคฝ่ายค้านคอยติง และเป็นพรรคฝ่ายค้าน ที่มีคุณสมบัติมากขึ้นกว่าสมัยก่อน ตรงนี้มันคู่กัน ไม่ใช่แค่รัฐบาลดีหรือไม่ดี มันต้องฝ่ายค้านดีไม่ดีด้วย ไปด้วยกัน

เมื่อถามถึง กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสนอศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคก้าวไกล จักรภพ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นแบบนี้ แต่ว่าขอสงวนความเห็นไว้ก่อน เพราะเพิ่งจะมาถึง

เมื่อถามอีกว่า มองเป็นวิถีปกติของการเมืองไทยหรือไม่ จักรภพ กล่าวว่า ตนคิดว่ามันเป็นเรื่องของการพัฒนาประชาธิปไตย ที่มันต้องดูว่าอะไรที่มันเป็นไปได้ในตอนช่วงนี้ อะไรที่มันยังเป็นไปไม่ได้

“ถ้าพูดง่ายๆ คือว่า มีใครที่เป็นวีรชนช่วงนี้ก็คือ วีรชนนั้นก็คือเป็นคนที่ออกไปทดลองระบบว่าอะไรมันทำได้อะไรทำไม่ได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นที่มองอยู่ ก็อยู่ที่คนอื่นต้องมองแล้วกันว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้วมันเกินเลยไป จะถอยมาแค่ไหน แล้วถึงจะบริหารประเทศได้ ผมคิดว่าประโยชน์มันมีแบบนั้น” จักรภพ กล่าว

ด้าน โชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ เปิดเผยโดยสรุปว่า วันนี้จักรภพให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ตำรวจให้ประกันตัว ทั้ง 2 คดี หลังมีการยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว คดีละ 200,000 บาท และในวันที่ 22-23 เม.ย. 67 จะต้องเข้าพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง

ภาพ เจมส์ วิลสัน / Thai News Pix

 

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า