‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ ร้อง ป.ป.ช. ฟ้อง นายกฯ ‘เศรษฐา’ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

‘พล.ต.อ.สุรเชษฐ์’ ร้อง ป.ป.ช. ฟ้อง ‘เศรษฐา’ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้าน นายกฯ มั่นใจทำถูกต้องแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เข้ายื่นคำร้อง ถึง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 67 ให้ตรวจสอบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เกี่ยวกับปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เรื่องการพิจารณาแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนที่ 14

และเรื่องออกคำสั่งส่งตัวกลับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. จะออกคำสั่งให้ ตนกับพวก รวม 5 คน ออกจากราชการไว้ก่อน รวมทั้งขอให้ตรวจสอบว่า การสอบสวนของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนชุดที่ทำคดีเว็บพนันออนไลน์มีอำนาจหน้าที่โดยชอบหรือไม่ แล้วขอให้ตรวจสอบว่าหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังได้นำแผนเอกสารข้อกฎหมาย อธิบายขอบเขตและอำนาจหน้าที่ในการสอบสวน คดีที่ตัวเองและพวกถูกกล่าวหา อธิบายว่าการกล่าวหา เจ้าหน้าที่รัฐ และกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ พนักงานสอบสวนจะต้องส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่รับการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. มาตรา 61 แต่หากไม่มีการดำเนินการตามกรอบเวลาที่กำหนด จึงถือเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบ และไม่มีอำนาจหน้าที่

แต่กรณีที่พนักงานสอบสวน ทำสำนวนเพื่อ กล่าวหาดำเนินคดีตัวเอง และพวกนั้น ได้เกินระยะเวลา และไม่เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย นานร่วม 4 เดือน แต่กลับ ไม่ยอมส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. หรือ ดีเอสไอ ดำเนินการ เพราะหลักฐานการแจ้งข้อหา เป็นความผิดมูลฟอกเงิน ก็ระบุชัดว่ามูลค่าความเสียหาย สูงเกินกว่า 300 ล้านบาท ก่อนที่ศาลออกหมายจับ

ด้าน นายเศรษฐา กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะเคยมีการร้องไปแล้วและมีการร้องเรียนซ้ำอีก ตนมั่นใจสามารถชี้แจงได้ว่าได้แต่งตั้งด้วยความเป็นธรรม และกระบวนการแต่งตั้ง ก็มีขั้นตอนในการรับฟังความคิดเห็นของทุกคนอย่างเห็นธรรม และมีการพูดคุยอย่างรอบด้าน จึงมีข้อสรุปออกมา และคะแนนในวันนั้นก็ออกมา 9 ต่อ 1 ถือเป็นสิ่งที่บ่งบอกชัดเจนแล้วว่ามีคนไม่ออกเสียง 1 คะแนน และให้พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็น ผบ.ตร. พร้อมกับย้ำว่า การโยกย้ายพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นไปตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอมา ซึ่งหากตนไม่ปฏิบัติตามก็จะโดนฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 และมั่นใจตนทำตามกฎหมายทุกอย่างโดยไม่ได้เข้าข้างใคร และไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง พร้อมตั้งข้อสงสัยว่าเรื่องเกิดมานานแล้วทำไมถึงเพิ่งมาร้องเรียนในช่วงนี้ แต่ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ไม่เป็นไร เพราะเชื่อว่าตนเองทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่างโดยไม่ได้กลั่นแกล้งใคร และไม่ได้ลำเลียงต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ส่วนการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ในฐานะประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีปรากฎเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีการรายงานขึ้นมา ซึ่งต้องแยกกับเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ออกจากราชการ เป็นคนละเรื่องกัน จากการพูดคุยกับนายฉัตรชัย เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังดำเนินการสอบสวนต่อไป และให้ความเป็นธรรม โดยไม่ได้เร่งเรื่องคนใดคนหนึ่ง หรือมีธงว่า ใครคนใดคนหนึ่งต้องผิด และทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด