SHARE

คัดลอกแล้ว

ท่ามกลางเดือน Pride ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการเฉลิมฉลอง และการแสดงออกอย่างหลากหลาย หนึ่งในวัฒนธรรมที่สะท้อนอารมณ์ดังกล่าวได้อย่างชัดเจน คือ วัฒนธรรมแดรก (Drag) ศิลปะการแสดงที่เคยอยู่ในวงเล็ก แต่วันนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก 

 

จากเวทีเล็กๆ สู่จักรวาลธุรกิจพันล้าน RuPaul’s Drag Race รายการเรียลลิตี้สัญชาติอเมริกัน นับเป็นหนึ่งส่วนสำคัญ ที่ไม่เพียงพาแดรกเข้าสู่กระแสหลัก แต่ยังสร้างอุตสาหกรรมที่มีอิทธิพล ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม นับเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของโลกที่แท้จริง

รูพอล (RuPaul) คือใคร? เติบโตสู่การเป็นไอคอนระดับโลกได้อย่างไร? และในวันที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้า เพื่อเป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางของวัฒนธรรมทางเพศที่หลากหลาย เราเรียนรู้อะไรได้จากรูพอลบ้าง รายการ Bizview Bling จากสำนักข่าวทูเดย์ ชวนมาหาคำตอบกัน

[รู้จักศิลปะการแดรกฉบับย่อ] 

สำหรับแดรก คือ ศิลปะการแสดงรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้คนแต่งตัวขึ้นมาแสดงบทบาทบนเวที โดยใช้เสื้อผ้า การแต่งหน้า และลูกเล่นต่างๆ มาช่วยเติมแต่งตัวตนของคนๆ นั้น ให้เด่นชัดและเกินจริง 

ทั้งนี้ การแสดงแดรกไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพียงให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังเป็นการตั้งคำถามถึงกับค่านิยมเรื่องเพศในสังคม และเปิดพื้นที่ให้เราได้จินตนาการ ถึงโลกที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระจริงๆ

สำหรับ การแสดงแดรกมีรากฐานมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่กรีกและโรมัน รวมถึงยุคสมัยพระราชินีนาถเอลิซาเบธแห่งอังกฤษ ที่ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงละครบนเวที เลยต้องให้ผู้ชายสวมบทเป็นผู้หญิงแทน

คำว่า ‘Drag’ เริ่มใช้ในปลายศตวรรษที่ 19 โดยวิลเลียม ดอร์ซีย์ สวอนน์ ถือเป็นแดรกควีนคนแรกที่ประกาศตัว และจัดงานแดรกในวอชิงตัน ดี.ซี. ก่อนเป็นที่นิยมมากขึ้น ในการแสดงวอเดอวิล ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่ด้วยมาตรฐานสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และกฎหมายต่อต้านการแต่งกายข้ามเพศ ส่งผลให้การแสดงนี้กลายเป็นกิจกรรมที่ต้องทำกันลับๆ 

กระทั่งช่วง ‘Pansy Craze’ ยุคที่ความหลากหลายทางเพศเป็นที่รู้จัก และมีการห้ามขายเหล้า คลับลับใต้ดินจึงกลับกลายเป็นพื้นที่เปิดให้แดรกเฟื่องฟู และในยุค 1940 – 1950 แดรกเริ่มมีบทบาทในวัฒนธรรมกระแสหลักบ้าง แต่ศิลปินแดรกยังคงเผชิญการกดขี่ จนนำไปสู่การลุกฮือ ในเหตุจลาจลสโตนวอลล์ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นของขบวนการ LGBTQ+ สมัยใหม่

จนปลายศตวรรษที่ 20 การแสดงแดรกพัฒนาสู่รูปแบบบอลรูมในกลุ่ม LGBTQ+ ผิวดำและลาติน และในปี 2009 รายการ RuPaul’s Drag Race จึงได้เปิดตัว กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ผลักดันแดรกเข้าสู่กระแสหลักในระดับโลก

[เส้นทางชีวิตของรูพอล]

ถ้าเปรียบชีวิตของรูพอล เป็นละครสักเรื่อง ฉากเปิดคงจะต้องเริ่มขึ้นที่ ‘ซานดิเอโก’ RuPaul Andre Charles เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 1960 ที่ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย 

โดยชื่อ ‘RuPaul’ ที่คุณแม่เป็นคนตั้งให้เขา มาจากคำว่า roux ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงแป้งผัดกับเนย หรือน้ำมัน จนกลายเป็นส่วนผสมข้นๆ ใช้เป็นหัวเชื้อของซุปและสตูว์ต่างๆ เหมือนกับจะรู้ว่า เขาจะกลายเป็นหนึ่งในสารตั้งต้น ที่ทำให้วัฒนธรรมแดรกขยายไปทั่วโลก

เมื่ออายุได้ 15 ปี เขาก็ย้ายตามพี่สาวไปอยู่แอตแลนตา ที่นั่นรูพอลเข้าเรียนที่ Northside School of Performing Arts ถึงท้ายสุดจะไม่จบการศึกษาก็ตาม 

ทว่า ในช่วงปี 1980 เขาเริ่มแต่งหญิง และออกแสดงในแอตแลนตา ไม่ว่าจะเป็นการเต้นโกโก้ในผับ หรือแสดงกับวงนิวเวฟพังค์ ที่เขาก่อร่างขึ้นมา อย่าง RuPaul and the U-Hauls และ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Wee Wee Pole ในภายหลัง

ช่วงชีวิตสั้นๆ รูพอลย้ายไปนิวยอร์กก่อนจะกลับมายังแอตแลนตา เพื่อเริ่มแสดงภาพยนตร์ทุนต่ำในบทเล็กๆ ที่ไม่ได้เครดิตด้วยซ้ำ ถึงงานเหล่านี้จะไม่ได้ทำให้เขาโด่งดังขึ้นมาก แต่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนการไม่เคยหยุดที่จะหาโอกาสให้ตัวเอง

และเพื่อหาโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ช่วงปี 1987 เขาก็ย้ายไปอยู่นิวยอร์กอีกครั้ง และเปลี่ยนสไตล์จาก Punk Drag ไปเป็นแนวที่เรียกว่า ‘Black Hooker Drag’ ผ่านไปได้ไม่นาน เขาก็สนิทกับกลุ่ม Club Kids เหล่าเด็กสายแฟชั่นแห่งนิวยอร์ก ที่โดดเด่นในการท้าทายกรอบของสังคม ในตอนนั้น รูพอลขึ้นแสดงในบาร์ ไนต์คลับ บางครั้งก็ขึ้นแสดงในเทศกาล Wigstock Drag Festival ที่เพื่อนรูมเมทของเขา อย่าง Lady Bunny เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง

จาก ‘รูปร่างสูงเด่น’ และ ‘ความสามารถอันเหนือชั้น’ ก็ทำให้ รูพอล กลายเป็นดาวเด่นของนิวยอร์กได้อย่างไม่น่าสงสัย

[แดรกควีนไอคอนแห่ง New York Nightlife]

ฉากถัดมาของชีวิตรูพอล ที่พาเขาไปเป็นดาราตัวจริง เริ่มขึ้นในปี 1989 เมื่อเขาได้ร่วมแสดงในเอ็มวีเพลง ‘Love Shack’ ของวง B’52s เพลงฮิตติดชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่ในปี 1993 จะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เขาได้เซ็นสัญญา กับค่ายเพลง Tommy Boy Records และปล่อยซิงเกิล ‘Supermodel (You Better Work)’ ที่ดังระดับขึ้นชาร์ตเพลงทั่วอเมริกา ตามมาด้วยอัลบั้ม Supermodel of the World

ความสำเร็จของเพลง “Supermodel (You Better Work)” ในช่วงต้นยุค 90 ที่โลกยังเต็มไปด้วยอคติ และวิกฤตเอดส์ นับว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการที่มิวสิกวิดีโอของแดรกควีนผิวสี ออกอากาศทาง MTV และประสบความสำเร็จในระดับสากล ขึ้นถึงอันดับ 45 บน Billboard Hot 100 แถมยังติด Top 40 ในอังกฤษ 

ทั้งหมดล้วนสะท้อนให้เห็นก้าวสำคัญ ของการยอมรับวัฒนธรรมการแสดงแบบแดรกจากกระแสหลัก แต่รูพอลไม่หยุดอยู่แค่ในวงการดนตรี แต่ต่อยอดไปสู่ทุกแวดวง ทั้งหนังสือ หนัง ละคร และโฆษณา ผ่านผลงานที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

ด้วยประสบการณ์เหล่านั้น เขาถึงกับหนังสืออัตชีวประวัติ Lettin’ It All Hang Out ที่ต่อมาเป็นต้นแบบให้กับแคมเปญใหญ่ ของ MAC Cosmetics ซึ่งทำให้เขาเป็นแดรกควีนคนแรก ที่ได้เป็นตัวแทนของแคมเปญโฆษณาเครื่องสำอางที่ใหญ่

ดังนั้น การมีรายการเป็นของตัวเองในปี 1996 อย่าง The RuPaul Show ทางช่อง VH1 ในปี 1996 จึงสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว โดยมี ‘มิเชล วิเซจ’ เป็นผู้ร่วมดำเนินรายการ รายการนี้นับเป็นหนึ่งในรายการโทรทัศน์ยุคแรกๆ ของสหรัฐฯ ที่มีพิธีกรเป็นแดรกควีน ก่อนจะปิดตัวลงหลังผ่านไปได้ 2 ปี

อาจมีบางช่วงเวลาที่รูพอลถอยห่าง หรือไม่ได้รับเสียงตอบรับดีอย่างที่หวัง แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงาน ทั้งด้านการแสดง และดนตรี

[เฉิดฉายอีกครั้ง กับ RuPaul’s Drag Race!]

จนกระทั่งปี 2008 ฉากชีวิตใหม่ของรูพอลก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เขากลับมาพร้อมกับรายการที่เขย่าวงการแดรกครั้งใหญ่อย่าง RuPaul’s Drag Race!

ด้วยการเซ็นสัญญากับ Logo TV ช่องเคเบิลที่เน้นคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์สำหรับผู้ชมกลุ่ม LGBTQ+ และในปี 2009 รายการ RuPaul’s Drag Race รายการเรียลลิตี้โชว์แนวเกมการแข่งขัน หาสุดยอดแดรกควีนก็ได้ออกอากาศเป็นครั้งแรก

ท่ามกลางสนามเรียลลิตี้ มีไม่กี่รายการที่เปลี่ยนทั้งวิธีคิดของสังคม และอุตสาหกรรมบันเทิงได้ แต่ RuPaul’s Drag Race คือหนึ่งในนั้น เขาทำให้วัฒนธรรมแดรกเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ด้วยการนำเสนอที่สนุก เข้าถึงง่าย และเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมเข้าใจ และยอมรับความหลากหลายทางเพศได้มากขึ้น

เพราะถึงแม้ว่าในช่วงต้นยุค 2000 เราจะเริ่มเห็นตัวละครเกย์ในซิตคอม หรือผู้เข้าแข่งขันที่เปิดเผยตัวตน แต่แทบไม่มีรายการไหนที่เกิดจากทีมสร้างสรรค์ที่เป็นเควียร์ เล่าเรื่องของเควียร์ และสร้างมาเพื่อผู้ชมเควียร์โดยเฉพาะ  จนกระทั่งปี 2009 ที่ RuPaul’s Drag Race ออกอากาศ และยกระดับบทสนทนาเกี่ยวกับเพศ อัตลักษณ์ และศิลปะการแสดงประเภทนี้ให้กลายเป็นเรื่องที่โลกยอมรับมากขึ้น

Charlie Hides หนึ่งในอดีตผู้เข้าแข่งขัน กล่าวว่า “พวกเขาดูรายการเพราะความสนุก สีสัน และอารมณ์ขัน แล้วจากนั้นก็เริ่มรู้สึกเชื่อมโยงกับพวกเรา เพราะผู้เข้าแข่งขันไม่ใช่แค่ตัวตลกที่เต้นไปมา หรือตัวประหลาด แต่คือมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน”

จากรายการซีซั่นแรก ที่สร้างผู้ชมกลุ่มหนึ่งในเกย์คอมมูนิตี้ ยอดผู้ชมก็เริ่มเพิ่มขึ้นทุกปี และเปลี่ยนจากออกอากาศช่อง LoGo ไปเป็นช่อง VH1 ที่ใหญ่ขึ้นแถมรายการยังคว้า Emmy Awards มาแล้วหลายครั้ง และเหล่าผู้เข้าแข่งขันหลายร้อยคน ก็กลายเป็นคนดังระดับโลกจากรายการนี้ ได้ยอดผู้ติดตาม ชื่อเสียง แถมยังมีงานแสดง ไปจนถึงเวิลด์ทัวร์

นอกจากนี้ยังมีการจัดงาน DragCon ที่ผู้คนหลั่งไหลเข้าร่วมเป็นหลักหมื่นคน จนสามารถสร้าง Drag economy หรือ เศรษฐกิจจากวัฒนธรรมแดรกขึ้นมาได้

บรรดาผู้เข้าแข่งขันเอง ก็สามารถสร้างรายได้จากการออกทัวร์ทั่วโลก ขายสินค้าลิขสิทธิ์ บางคนก็ทำแบรนด์เครื่องสำอาง เปิดบาร์ของตัวเอง รับงานแสดง หรือผันตัวเองมาเป็นนักร้อง

ยิ่งกว่าการสร้างดาวเด่น คือรายการนี้สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ ขึ้นมา เมื่อกลุ่มธุรกิจ บุคคล บริการ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกันจับมือกันโต แบบที่ไม่ใช่แค่ ‘ผู้ซื้อกับผู้ขาย’ แต่คือ ‘ระบบร่วมอยู่ ร่วมโต ร่วมได้ประโยชน์’ เช่นเมื่อแดรกควีนมีงาน ช่างแต่งหน้า ช่างทำผม นักออกแบบเสื้อผ้า สไตลิสต์ โปรดิวเซอร์คอนเทนต์ บรรณาธิการ และเอเจนซี่จัดการงานแดรกก็ได้เติบโตเช่นกัน

นอกจากนี้ ธุรกิจข้างเคียงก็ได้รับผลกระทบในเชิงบวก เช่น บาร์เกย์ ที่เคยซบเซาเพราะคนหันไปเล่นแอปฯ หาคู่ทางออนไลน์ ที่ทำให้คนไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านเพื่อเจอคนใหม่ๆ อีกต่อไป 

แต่เมื่อ RuPaul’s Drag Race เข้าฉาย บาร์ทั่วอเมริกากลับมาคึกคักอีกครั้ง จากการจัด Drag Race Nights พื้นที่รวมตัวของเควียร์ และพันธมิตร การได้ดูรายการพร้อมเพื่อนๆ สนุกกว่าการดูคนเดียว และเมื่อเหล่าควีนจากรายการ กลายเป็นคนดังระดับมีแฟนคลับ ผู้คนก็แห่กันไปดูการแสดงกันแน่นบาร์

[เหรียญอีกด้านของ Drag Race by RuPaul ]

การเติบโตของ Drag Race ทำให้เกิดจักรวาลแฟรนไชส์แบบครบวงจร ตั้งแต่งานแฟนมีตติ้งขนาดใหญ่ ในรูปแบบคอนเวนชัน อย่าง DragCon สินค้าลิขสิทธิ์ต่างๆรวมถึงการร่วมมือกับแบรนด์ใหญ่ อย่าง MAC หรือ E.l.f. Cosmetics

ยิ่งกว่านั้น แดรกกลายเป็น ‘โมเดลธุรกิจ’ ที่มีสินทรัพย์เป็นตัวบุคคล สื่อ และคอมมูนิตี้ และแน่นอนว่า การเข้าสู่ระบบทุนนิยมย่อมมีคำถามตามมา ถ้าทุกอย่างต้อง ‘ขายได้’ ศิลปินที่ไม่ตรงตามภาพลักษณ์ที่ตลาดต้องการอยู่ตรงไหน แดรกที่เน้นความขบถ วิจารณ์การเมือง หรือไม่ได้สวยเป๊ะ หน้าแน่นชุดฟู จะยังมีที่ยืนหรือไม่

แดรกอาจจะยังคง สนุก และ ปัง แต่คำถามคือจะยัง ‘ท้าทายอำนาจ’ ได้เท่าเดิมหรือไม่ หรือเรากำลังเห็นแดรกเวอร์ชันที่ผ่านการคัดกรอง ให้พร้อมขายในตลาดแบบแพคเกจมาแล้ว 

ถึงตอนนั้นพลังของรายการนี้ อาจกลืนวัฒนธรรมที่เคยหลากหลายของแดรกให้แคบลงโดยไม่รู้ตัว หลายเสียงในวงการแดรกอังกฤษ ต่างแสดงความกังวลว่า Drag Race อาจจะสร้าง ‘สูตรสำเร็จ’ ของแดรกที่เน้นความสวยจัดจ้าน ลิปซิงก์แน่น ตลกถูกจังหวะ และสามารถตัดชุดทำสไตล์ลิ่งได้ จนทำให้แดรกที่เน้นการเล่าเรื่องแนวทดลอง หรือมีรูปแบบเฉพาะตัวที่ไม่เข้ากับรูปแบบที่คนคุ้นเคยจากรายการอาจจะถูกมองข้าม 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องความกดดันด้านการเงิน ที่ทำให้รายการถูกวิจารณ์ บทความจาก VICE “Shantay, You Pay: Inside the Heavy Financial Burden of Going On ‘Drag Race’” เปิดเผยเรื่องภาระทางการเงินที่ผู้เข้าแข่งขันในรายการ RuPaul’s Drag Race ต้องเผชิญ

โดยเนื้อหาระบุว่า ผู้เข้าแข่งขันต้องลงทุนเงินจำนวนมาก เพื่อเตรียมชุดลุคต่างๆ สำหรับรายการ โดยค่าใช้จ่ายรวมอาจอยู่ระหว่าง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว146,000 บาท ถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 730,000 บาท และบางทีก็มากกว่านั้น

จริงอยู่ว่าในช่วงแรกของรายการ ผู้เข้าแข่งขันสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการเย็บผ้า เพื่อสร้างสรรค์ลุคต่างๆ ด้วยงบประมาณจำกัด แต่เมื่อรายการได้รับความนิยมมากขึ้น ความคาดหวังจากผู้ชมและกรรมการก็สูงขึ้น ผู้เข้าแข่งขันก็เลยต้องลงทุนมากขึ้นตาม เพื่อให้ได้ลุคที่โดดเด่น และน่าประทับใจ

นี่เองทำให้รายการที่เคยเป็นโอกาสในการคว้าความฝัน สร้างชื่อเสียงและเปิดประตูสู่อาชีพในวงการบันเทิง กลายเป็นโอกาสที่มาพร้อมกับความเสี่ยงทางการเงิน 

จากเรื่องราวของ RuPaul และทีมแดรก สิ่งที่เด่นชัด คือ ศิลปะการแสดงที่เคยถูกมองเป็นเพียง ‘ชายขอบ’ ในบาร์เล็กๆ สามารถทะยานสู่กระแสหลักได้ ไม่เพียงแค่เปิดพื้นที่และสร้างเวที แต่พวกเขายังบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ จนเกิดเป็น ‘คุณค่าทางเศรษฐกิจ’ อย่างมหาศาล 

และเป็นข้อพิสูจน์ว่า เมื่อศิลปะเฉพาะกลุ่มถูกบริหารอย่างถูกทาง ก็สามารถพลิกเป็นทั้งธุรกิจระดับโลก และพลังขับเคลื่อนวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่ได้

ลองคิดดูว่า หากอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทย ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ทั้งด้านเงินทุน การบริหารจัดการที่ชาญฉลาด และการพัฒนาทักษะศิลปินอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเติบโตและจะสร้างมูลค่าพลิกโลกได้มหาศาลเพียงใด

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า