ผลประกอบการ SCG ไตรมาสสาม ประจำปี 2565 ลดลงทั้งรายได้ และกำไร โดยรายได้จากการขาย 142,391 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน ส่วนกำไรสำหรับงวด 2,444 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 75 จากไตรมาสก่อน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูง และสะท้อนวิกฤติเศรษฐกิจโลก รวมถึงวิกฤติพลังงานที่มาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนเป็นหลัก
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 447,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15
จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตาม
ราคาตลาด
โดยมีกำไรสำหรับงวด 21,225 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 45 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากต้นทุนวัตถุดิบของธุรกิจเคมิคอลส์และต้นทุนพลังงานสูงขึ้น ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจเคมิคอลส์ลดลง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อรายได้ กำไรโดยตรงคือต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูง หลายประเทศแห่กักตุนน้ำมัน ส่งผลราคาน้ำมันขึ้น 40% จากปีที่แล้ว และยังซ้ำเติมด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดอกเบี้ยสูง
[ แล้ว SCG จะพลิกเกมยังไง ]
อย่างไรก็ตาม ภาพรวม SCG ยังคงมีสถานะการเงินแข็งแกร่ง จากการคุมเข้มสภาพคล่อง ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทบทวนการลงทุนและชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน รวมถึงชะลอจ้างงาน นอกจากนั้น ในไตรมาส 3 ปี 2565 ได้ออกหุ้นกู้ทั้งกลุ่มรวม 35,000 ล้านบาทช่วยเสริมสภาพคล่อง
พลิกเกมเชิงรุกเข้าสู่ 3 ธุรกิจใหม่ 1) พลังงานหมุนเวียน 2) ธุรกิจโลจิสติกส์ ครบวงจรรายใหญ่ในอาเซียน 3) ธุรกิจ Smart Living
1) พลังงานหมุนเวียน
วิกฤตพลังงาน มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมานานแล้ว และสงครามเร่งให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม ซึ่ง SCG บอกว่า “ถ้าปัญหาคือพลังงาน ทางบริษัทก็ต้องลดใช้พลังงาน” ลุยพลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และเชื้อเพลิงจากขยะ (Refused Derived Fuel : RDF) ทดแทนพลังงานฟอสซิล
โดยไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากเชื้อเพลิงทั้งหมดในการผลิต ช่วง 9 เดือนของปี 2565 SCG มีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 34 จากร้อยละ 18 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และพลังงานแสงอาทิตย์ 195 เมกะวัตต์ (ณ เดือนกันยายน ปี 2565)
และปลายปีนี้ SCG ตั้งเป้าจะใช้พลังานทดแทนให้มากขึ้นเป็นครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
ส่วนเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ SCG ก็มีโซลูชั่น SCG Solar Roof Solutions และบริษัท SCGC (SCG Clean Energy) ที่ต่อจากนี้ไปจะได้รับการเร่งเครื่องเต็มที่ เพราะมันคือโอกาสทางธุรกิจ ไม่ใช่แค่ รวมถึงการติดตั้งในที่อยู่อาศัยของคนทั่วไป เราก็คิดว่าเรามีความพร้อมและจะผลักดันต่อ
2) ธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจร
ซึ่งการที่ SCG ส่งบริษัทลูกรวมกิจการกับ JWD เป็นบริษัทใหม่ บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (“SCGJWD”) ก็เพื่อมาเสริมธุรกิจโลจิสติกส์นี้ ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยบริการที่หลากหลายทั้งบริการคลังสินค้า ระบบห้องเย็น บริการขนส่งสินค้าทั้งทางบก เรือ อากาศ บริการท่าเทียบเรือ และบริการนำเข้า-ส่งออก
3) ธุรกิจ Smart Living
SCG มีโซลูชั่นเพื่อธุรกิจ เช่น SCG Active AIR Quality SCG Bi-ion และ SCG HVAC Air Scrubber โซลูชันจัดการคุณภาพอากาศ กำจัดเชื้อโรค และลดการใช้พลังงานในอาคาร ขณะนี้ได้ติดตั้งแล้วที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โรงพยาบาล ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ห้างสรรพสินค้า อาทิ เทอร์มินอล 21 พัทยา เซ็นทรัล อยุธยา อาคารสำนักงาน อาทิ เอสซีจี สำนักงานใหญ่ Kloud by Kbank อาคารอับดุลราฮิม เป็นต้น
ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่โตดี ล่าสุด SCG ต่อยอดทำ Smart Living สำหรับที่อยู่อาศัยทั่วไปครอบคลุมบริการซ่อมบำรุงบ้าน การประหยัดพลังงานในบ้าน ซึ่งจะเป็นเมกะเทรนด์ในอนาคต
ส่วนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจใหม่ช่วงที่ผ่านมาคือ
- SCGC ลงทุนซื้อหุ้นร้อยละ 70 ซื้อหุ้นในบริษัทซีพลาสต์ (Sirplaste) ประเทศโปรตุเกส ขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง SCGC GREEN POLYMER ป้อนตลาดยุโรปและแอฟริกา
- SCGP
ได้ขยายการลงทุนสู่ตลาดวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูง (Deltalab, S.L.) ประเทศสเปน ส่งออกครอบคลุมตลาดทั่วโลก ทั้งยังขยายกิจการรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ซึ่งมีความต้องการสูงและตอบเทรนด์รักษ์โลก ได้แก่ Peute Recycling B.V. (Peute) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และ Jordan Trading Inc. (Jordan) ประเทศสหรัฐอเมริกา